วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ เน้นลงทุนรายกลุ่มในช่วงที่ตลาดพักฐาน
เน้นเลือกลงทุนรายกลุ่มเป็นหลัก เราประเมินตลาดหุ้นไทยมีโอกาสพักตัวต่อเนื่อง จากค่าเงินบาทในระยะสั้นที่พลิกกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง หลัง Donald Trump ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ซึ่งมีนโยบายที่เอื้อต่อทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ และการขยายตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย เราแนะนำกลยุทธ์เน้นลงทุนเป็นรายกลุ่ม/บริษัท ที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว กลุ่มที่เรายังคงชอบ 1) กลุ่ม ICT, 2) กลุ่มการเงิน, 3) กลุ่มโรงไฟฟ้า, 4) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และ 5) กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจ ในช่วงที่เงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ได้แก่ กลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง อาทิ AU, COCOCO, MEB และ VRANDA เป็นต้น
กระจายความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดผันผวน คาดตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวนในเดือน พ.ย. เราแนะนำ กระจายความเสี่ยงโดยแบ่งน้ำหนักการลงทุนเป็น 2 ส่วน 1) หุ้นที่อยู่ในโมเมนตัมขาขึ้นและมีแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่ง เนื่องจากเรามองว่าเป็นกลุ่มที่มีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) โดยมองกลุ่มจะได้ประโยชน์จากการประมูลคลื่นรอบใหม่ จากคู่แข่งที่ลดลง ทำให้ราคาในการประมูลจะถูกลงจากการประมูลครั้งก่อน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่มีหนี้สินค่อนข้างมาก จึงมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงด้วย และ 2) หุ้น Laggard ที่มีโมเมนตัมของกำไรที่แข็งแกร่ง ได้แก่กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, RATCH, EGCO) ที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (AOT,ERW,VRANDA) ที่ราคาได้รับรู้ปัจจัยลบไปมาก
แนวรับถัดไป 1,450 ระยะกลางตลาดยังอยู่ในภาพของการพักฐานบริเวณ 1,430-1,450 จุด ภาพใหญ่ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ในขณะที่บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเป็นภาพของการเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่แนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่ง ตามกลุ่มที่มีการทยอยประกาศผลประกอบการ 3Q67 หุ้นหลายตัวมีการปรับฐานตามเล็กน้อยจาก Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัว ระยะกลางมองแนวรับที่ 1,450 จุด
ภาพรวมกลยุทธ์ “กรอบการเก็งกำไร 1,430-1,500 จุด เลือกเก็งกำไรรายตัว สะสมหุ้นที่เข้าสู่ช่วง high season อย่างท่องเที่ยว การแพทย์ เราชอบ AOT, ERW, CENTEL, SPA, VRANDA, BCH, BDMS 2) หุ้นได้ประโยชน์การ Relocation : WHA,TRUE, INSET, ITEL, MFEC, AIT, ICN, LTS 3) หุ้นต่ำมูลค่าทางบัญชี FLOYD, IND, BC
แนวรับ: 1,450 แนวต้าน : 1,500 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• ADVANC* (310) : กำไรสุทธิ 3Q67 เพิ่มขึ้น yoy หนุนจากธุรกิจ FBB และคาดจะมี catalyst ใหม่ หลัง GULF เข้ามาถือหุ้นโดยตรง ตัดขาดทุน 268.00 บาท
• COCOCO* (13) : ราคาหุ้นปรับลงมารับกำไร 3Q67 ที่อ่อนแอ ไปพอสมควรแล้ว และทำให้ valuation กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ตัดขาดทุน 10.50 บาท
• MTC* (56) : คาดคุณภาพสินทรัพย์จะทยอยปรับดีขึ้น และเรามอง MTC เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ตัดขาดทุน 45.00 บาท
• VRANDA* (7) : คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2H67 พลิกกลับมากำไร จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งในธุรกิจโรงแรม และอสังหาฯ รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ตัดขาดทุน 5.10 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- จีนเตรียมออกมาตรการภาษีหนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์
- “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” นั่ง “ประธานแบงก์ชาติ” คนใหม่
- ชิเงรุ อิชิบะ ได้เป็นนายกญี่ปุ่นต่อ หลังชนะการเลือกตั้งจากรัฐสภา
- JAS ดีลกว่า 1.9หมื่นลบ.คว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพในไทย-ลาว-เขมร 6 ฤดูกาล
- TU ประกาศกลยุทธ์ใหม่ ปี 73 ปักธงรายได้ 2.45 แสนล้านบาท เพิ่มกำไร 2 เท่า
- AWC อวดผลงานกลุ่มโรงแรมโดดเด่นดันงบ Q3 โตฝ่าโลว์ซีซั่น
- ICHI ปันผลในอัตรา 0.60 บ./หุ้น XD 22 พ.ย.
- IVL แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 32.00 บาท/ MAJOR แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19.00 บาท
- MENA แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 1.60 บาท / NSL แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 41.00 บาท /SNNP แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 14.00 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
12 พ.ย. – US CPI (Oct)
15 พ.ย. – JP GDP Growth Rate (3Q67)