วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ติดตามการประชุม Fed และประชุม กนง.
ตลาดพักฐานในระยะสั้น แต่มองเป็นโอกาสสะสมเพื่อลงทุน ประเมินสัปดาห์นี้ตลาดจะให้น้ำหนักกับการประชุมธนาคารกลาง ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงแรง
โดยหลักมาจากการปรับลดลงของกลุ่ม CPAXT และ CPALL หลัง CPAXT ประกาศเข้าลงทุนในโครงการ The Happitat ในสัปดาห์นี้ตลาดให้ความสำคัญกับการประชุมของ Fed และ กนง. สำหรับ Fed คาดมีโอกาสสูงที่คณะกรรมการจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25ppt ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ Dot Plots และประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 หาก Dot Plots ออกมาว่า Fed มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าตลาดคาดที่ 0.75ppt ในปี 2568 จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย ทั้งในด้านผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และ Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติที่มีโอกาสไหลกลับมายังตลาดหุ้นไทย แต่หากต่ำกว่า 0.75ppt คาดจะกดดันตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น
การประชุมกนง.รอบนี้อาจมีเซอร์ไพรซ์ลดดอกเบี้ย: แม้มุมมองนักเศรษฐศาสตร์ประเมินมีโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดดอกเบี้ยประมาณ 2 ครั้งในปี 2568 แต่เรามองว่ามีความเป็นไปได้เช่นกันที่ ธปท.อาจตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยลงตั้งแต่การประชุม 18 ธ.ค. นี้ เนื่องจากวาระการแก้หนี้เป็นเรื่องใหญ่ และการปรับลดดอกเบี้ยอาจเป็นการส่งสัญญาณสนับสนุนการแก้ปัญหาหนี้ของรัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งอาจเป็นเซอร์ไพรซ์ให้กับกลุ่มไฟแนนซ์ สำหรับกลุ่มธนาคารอาจเป็นลบระยะสั้น อย่างไรก็ตามเราคงมุมมองงบกลุ่มสถาบันการเงินมีโอกาสดีกว่าตลาดคาดในช่วงไตรมาส 4/67 หลังตั้งสำรองหนักมาตลอดทั้งปีแล้ว
อาจมีแรงเก็งกำไรในหุ้นเข้าออก SET50/SET100: หุ้นที่คาดการณ์ว่าจะเข้า SET50 ได้แก่ CCET, COM7, SAWAD, BANPU / หุ้นที่คาดการณ์ว่าจะถูกถอดออกจาก SET50 ได้แก่ TIDLOR, CENTEL, BCP, EA / หุ้นที่คาดการณ์ว่าจะเข้า SET100 ได้แก่ CCET, JTS, PR9, COCOCO / หุ้นที่คาดว่าจะถูกถอดออกจาก SET100 ได้แก่ MBK, TOA, TIPH, RBF
ภาพรวมกลยุทธ์ “SET Index ปรับหลุด 1,426 จุด ส่งผลให้ downside เปิดระดับใกล้ 1,400 จุด แต่จะเป็นจังหวะซื้อที่น่าสนใจ Theme play หลักที่เราให้น้ำหนักอยู่ในกลุ่ม Earnings momentum play ใน 4Q67-1Q68 โดยเรายังคงชอบ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก โดยคาดธนาคาร และการเงิน จะเป็นกลุ่มช่วยประคองบรรยากาศรวม // หุ้นที่ได้แรงหนุนจากรายจ่ายภาครัฐ ได้แก่ SYNEX, SIS, SAMART, CSS, CK, STECON // ผู้ต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีควรทยอยซื้อ RMF, SSF, Thai ESG
แนวรับ: 1,405 แนวต้าน : 1,426-1,438 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• KTC* (52): การตั้งสำรองอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คาดไตรมาส 4/67 มีโอกาสรายงานกำไรดีกว่าคาด และได้แรงส่งเชิงบวกจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางขนาดใหญ่ของโลก ตัดขาดทุน 46.50 บาท
• NSL* (41): คาดผลการดำเนินงานใน 4Q68F เติบโตดีต่อเนื่อง จากการเข้าสู่ช่วง High season ตัดขาดทุน 29 บาท
• SHR* (2.80): ผลการดำเนินงานปี 2568 มีโอกาสเติบโตขึ้นจากรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก 5-10% โดยเฉพาะโรงแรมในไทยและมอริเชียสที่ (ระดับ 20%) ตัดขาดทุน 2.30 บาท
• KTB* (25.00): คาดผลดำเนินงานปรับดีขึ้น จากโครงการของรัฐบาลที่คาดจะออกมามากขึ้นในปี 2568 ตัดขาดทุน 20.70 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการสหรัฐพุ่งสูงสุดรอบ 33 เดือนในธ.ค.
- ดัชนี PMI ภาคการผลิตญี่ปุ่น หดตัว 6 เดือนติดกัน เซ่นดีมานด์อ่อนแอ
- คาด BOJ คงดบ.สัปดาห์นี้ รอดูแนวโน้มค่าจ้าง-ทิศทางนโยบายสหรัฐฯ
- ราคาน้ำมัน WTI ร่วงใกล้หลุด $71 วิตกยอดค้าปลีกจีนซบกระทบดีมานด์
- AIMC เล็งเรียกหารือถกปม CPAXT ลงทุน The Happitat ผิด CG หรือไม่สัปดาห์หน้า
- DELTA-CCET จับมือร่วมยกระดับผลักดันนวัตกรรมระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม EMS
- DELTA กลับมาได้ ESG Rating อีกครั้ง คาดเตรียมเข้าสู่ดัชนี SETESG ในรอบถัดไป
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
17 ธ.ค. – US Retail Sales
18 ธ.ค. - ประชุมกนง.
19 ธ.ค. – Fed Meeting/BoJ Interest Rate Decision