วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ บริเวณ 1300-1330 เป็นโอกาสสะสม
อาจผันผวนระยะสั้น แต่มองเป็นโอกาสสะสม ภาพระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังคงดูซึมลง อย่างไรก็ตามเราประเมิน Downside ของตลาดหุ้นไทยจะเริ่มจำกัด หนุนจากปัจจัยในประเทศที่แข็งแกร่ง
สำหรับวันนี้เราประเมินตลาดหุ้นไทยจะสามารถฟื้นตัวได้ จาก 1) ดัชนี Dow Jones และ S&P500 ที่ปรับเพิ่มขึ้น หลังการรายงาน PPI ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์, 2) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 12 ม.ค. อยู่ที่ 1.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.9% yoy นำโดยนักท่องเที่ยวจีน (2.1 แสนคน) หากดูเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในวันที่ 6 ม.ค. – 12 ม.ค. 68 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไทย 8.1 แสนคน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์แรกของปีที่ราว 5 แสนคน และ 3) โครงการ Easy E-Receipt ที่จะเริ่มโครงการในวันที่ 16 ม.ค. และโครงการ Digital Wallet เฟส 2 ที่คาดจะเริ่มโอนเงินให้กับผู้สูงอายุในวันที่ 27 ม.ค. นี้ ช่วยหนุน sentiment ให้กับกลุ่มอิงการใช้จ่ายในประเทศ
เราประเมินบริเวณ 1,300-1,330 จุด เป็นบริเวณที่เริ่มน่าสะสม: แม้ตลาดหุ้นไทยจะยังดูมีความผันผวนจากปัจจัยในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเราประเมินการปรับลดลงของ SET Index สู่บริเวณ 1,300 – 1,350 จุด เป็นจุดที่เรามองว่าควรเข้าสะสมจาก Valuation ที่จะซื้อ/ขายที่ P/E เพียง 13-13.6 เท่า ขณะที่ปัจจัยในประเทศเริ่มดูดีมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 1) ที่ประชุม ครม. ผ่านร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex แม้กระบวนการดำเนินโครงการจะยังต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควร อย่างไรก็ตามมองเป็นการสะท้อน ความคืบหน้าของโครงการ และการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวส่งผลให้โครงการมีโอกาสเกิดได้สูงมากขึ้น, 2) ยอด BOI ปี 67 เพิ่มขึ้นสูงถึง 35% yoy หนุนจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และ Cloud Services ขณะที่ปี 68 คาดยอด BOI เติบโตต่อเนื่อง หนุนจากการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย การสงครามการค้า และ 3) นยาบยกระตุ้นเศรษบกิจหลายโครงการใน 1Q68 ช่วยหนุนผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน
ภาพรวมกลยุทธ์ ยังยืนยันความผันผวนช่วงม.ค.เป็นโอกาสในการเลือกซื้อ โดยยังมองกลุ่ม Earnings momentum play ใน 4Q67-1Q68 มีความน่าสนใจ โดยเราชอบ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก และอาหาร (เครื่องดื่มและเนื้อสัตว์) ขณะที่คาดธนาคาร และการเงิน จะเป็นกลุ่มช่วยประคองบรรยากาศโดยรวม
แนวรับ: 1,320-1,330 แนวต้าน : 1,371-1,382 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• KTB (25) : คาดรายงานกำไรไตรมาส 4/67 ที่ 11,009 ล้านบาท -0.9% QoQ, +21.2% YoY คาดผลตอบแทนปันผลที่ 5% ตัดขาดทุน 20.80 บาท
• CBG* (85): หากมีแล้ว โซนซื้อเพิ่มคือ 71-72 บาท ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง และการสร้างโรงงานที่พม่าบวกต่อการแย่งส่วนแบ่งการตลาด ตัดขาดทุน 70 บาท
• BTG (21) : คาดกำไร 4Q67F เพิ่มขึ้นทั้ง qoq และ yoy จากต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรยังปรับดีขึ้นต่อเนื่อง ตัดขาดทุน 17.50 บาท
• MEB* (27): ผลการดำเนินงานจะได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ High season ใน 4Q67F และ Easy E-receipt ใน 1Q68 ราคาปัจจุบันซื้อขายเพียง 15x PER ตัดขาดทุน 20 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- สหรัฐเผยดัชนี PPI +3.3% เดือนธ.ค. ต่ำกว่าคาดการณ์
- สหรัฐฯ เล็งคุมเข้มส่งออกชิป AI ทั่วโลก หวังรักษาตำแหน่งผู้นำด้าน AI
- เปิดปี 2568 เพียง 2 สัปดาห์ “ต่างชาติเที่ยวไทย” ทะลุ 1.3 ล้านคน จีนยังครองแชมป์
- "บ้านเพื่อคนไทย" พร้อมดีเดย์ 17 ม.ค. นายกฯ ยันเดินหน้าเต็มที่
- ครม.ไฟเขียวมาตรการภาษีส่งเสริมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
- แจกเงิน 10,000 เฟส 2 ผู้สูงอายุ คลังเคาะวันโอน 27 ม.ค.นี้
- กัลฟ์ทำสำเร็จ นำเข้า LNG ลอตแรกป้อนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ
- WHA บุกเวียดนามเตรียมพื้นที่เกือบ 10,000 ไร่ รับการลงทุน
- บทวิเคราะห์วันนี้ : TISCO แนะนำ ถือ เป้า 94 บาท/ SCGP แนะนำ ถือ เป้า 19 บาท/ TRUE แนะนำ ถือ เป้า 14.50 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
15 ม.ค. – US Inflation (Dec)
16 ม.ค. – US Retail Sales (Dec)