ก.ล.ต.คุมเข้มสินทรัพย์ดิจิทัล 8 เดือนสั่งปรับ-กล่าวโทษ 27 เคส
ตลาดคริปโทเคอรร์เรนซี่ในประเทศไทย อยู่ในช่วงตลาดขาขึ้น ในปี 2564 มีนักลงทุนเข้ามาในตลาดนี้มากขึ้น ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีภารกิจหลักในการกำกับ ดูแลให้หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้
หากมีผู้ไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ทางก.ล.ต.มีคณะทำงานที่คอยตรวจสอบ ซึ่งหากพบ ก.ล.ต.ก็จะดำเนินการเสนอต่อคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ เพื่อพิจารณาและกำหนดค่าปรับ
ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (1 ม.ค. -1 ก.ย. 2565) คณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ ได้มีคำสั่งเปรียบเทียบปรับและกล่าวโทษ บริษัท และผู้บริหารของบริษัทประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล รวม 27 กรณี มูลค่า 52.27 ล้านบาท แบ่งเป็น บริษัท 18 กรณี และรายบุคคล 9 กรณี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่มีจำนวน 12 กรณี มูลค่า 12.34 ล้านบาท
สำหรับบริษัทที่ถูกเปรียบเทียบปรับมูลค่าสูงที่สุด ได้แก่ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ Satang 4 กรณี มูลค่า 12.29 ล้านบาท คือ 1.เก็บรักษา-ไม่นำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากกับผู้ให้บริการรับฝากฯตามเกณฑ์ 2.ทำการส่งคำสั่งจับคู่ซื้อขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี BTC ETH และ XRP ระหว่างกันเองในศูนย์ซื้อขาย Satang Pro อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับปริมาณการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล 3.ไม่นำส่งงบการเงินประจำปี 2563 และไม่ประกาศงบการเงินดังกล่าวบนเว็บไซต์ของ Satang ภายในกำหนดระยะเวลา 4.ไม่นำส่งงบการเงินประจำปี 2564 และไม่ประกาศงบการเงินดังกล่าวบนเว็บไซต์ของ Satang ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว
รองลงมา บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Upbit ถูกเปรียบเทียบปรับรวม 5 กรณี มูลค่า 9.75 ล้านบาท ได้แก่ เก็บรักษา-ไม่นำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากกับผู้ให้บริการรับฝากฯตามเกณฑ์ ถูกเปรียบเทียบปรับ 2 ครั้ง ,นำส่งงบการเงินประจำปี 2564 ล่าช้ากว่าระยะเวลาที่ประกาศกำหนด ,จัดทำและนำส่งแบบรายงานเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิรายวัน (แบบรายงาน ดจ.1) ต่อสำนักงานล่าช้ากว่ากำหนด และ นำส่งงบการเงินประจำปี 2563 ที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์
บริษัท บิทาซซ่า จำกัด หรือ Bitazza รวม 3 กรณี มูลค่า 6.91 ล้านบาท ได้แก่ 1.เก็บรักษา-ไม่นำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากกับผู้ให้บริการรับฝากฯตามเกณฑ์ ,นำส่งงบการเงินประจำปี 2563 ล่าช้ากว่าระยะเวลาที่ประกาศกำหนด และ ไม่นำส่งงบการเงินประจำปี 2564 และไม่ประกาศงบการเงินดังกล่าวบนเว็บไซต์ของ Bitazza ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว
บริษัท บิทคับ ออนไลน์ หรือ BO จำนวน 1 กรณี มูลค่า 2,533,500.00 บาท เพราะ คณะกรรมการคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลพิจารณาและมีมติอนุมัติเหรียญ KUB เข้าซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกและเพิกถอนสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing Rule) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. และไม่ได้คำนึงถึงมาตรการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (COI) มีคำสั่งเปรียบเทียบ
บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด หรือ Zipmex รวม 2 กรณี มูลค่า 1.92 ล้านบาท ฐานระงับการให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดหรือบางส่วน โดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์trading rulesของ Zipmex และฐานระงับการให้บริการฝากถอนทรัพย์สินของลูกค้าใน Trade wallet และ Z-wallet
บริษัท ดีเอสแด็ค (ประเทศไทย) 1 กรณี ฐานเก็บรักษา-ไม่นำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากกับผู้ให้บริการรับฝากฯตามเกณฑ์ โดยถูกกล่าวโทษ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน
บริษัท จีเอ็มโอ-แซด.คอม คริปโทนอมิคซ์ (ประเทศไทย) 1 กรณี มูลค่า 1.8 แสนบาท ฐานเก็บรักษา-ไม่นำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากกับผู้ให้บริการรับฝากฯตามเกณฑ์
บริษัท บาร์เทอร์ สมาร์ท จำกัด กรณีฐานเสนอขายเหรียญ BSmart (มีลักษณะเป็น investment token ที่มีการจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือเหรียญ) โดยไม่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ออกใหม่ต่อประชาชนจากสำนักงาน มีการกล่าวโทษ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน
นอกจากนี้ ก.ล.ต.ได้สั่งปรับเป็นรายบุคคลที่เป็นผู้บริหาร และ ทั้งหมด 9 คน คือ 1. นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (บริษัทสตางค์) ถูกปรับรวม 6,040,323.00 บาท กรณีสร้างปริมาณเทียมในศูนย์ซื้อขาย Satang Pro แต่ได้มีการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งตามที่คณะกรรมการพิจารณา
ผู้บริหารของ บริษัทบิทคับออนไลน์ 2. นายนิธิวัฒน์ มณีสินธุ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี, 3.นายสุกฤษฏิ์ พุทธวิริยะ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด , 4.นายปิยพงษ์ โคตรชนะ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการปฏิบัติการ, 5.นายพงศกร สุตันตยาวลี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ6.นายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ซึ่งเป็นผู้บริหารของ ทาง บิทคับ ออนไลน์ ถูกบังคับใช้กฎหมายในพ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล ฐานคัดเลือก Bitkub Coin (เหรียญ KUB) เข้าซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกและเพิกถอนสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing Rule) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. และไม่ได้คำนึงถึงมาตรการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (COI) มีคำสั่งเปรียบเทียบปรับคนละ 2,533,500.00 บาท รวม 12.66 บาท
7.นายกัมปนาท เทพสุวรรณ 8.นายธันวา อาภรทิ คือ เชิญชวนให้ประชาชนและผู้ลงทุนไทยเข้าใช้บริการแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลบนเว็บไซต์ www.binance.com (“Binance”) ผ่านเพจเฟซบุ๊ก Binance Thai Community ถือเป็นการสนับสนุนหรือช่วยเหลือการกระทำความผิดของ Binance ในการประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถูกกล่าวโทษและอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน
และ 9.ธนพงษ์ จันทร์ทอง ฐานเสนอขายเหรียญ BSmart (มีลักษณะเป็น investment token ที่มีการจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือเหรียญ) โดยไม่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ออกใหม่ต่อประชาชนจากสำนักงาน ซึ่งถูกกล่าวโทษและอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน