ส่อง 5 ปัจจัย ดันตลาด”คริปโท” สู่ Bull Run อีกครั้ง
ปี 2566 นี้เป็นปีที่นักลงทุนลุ้นให้ตลาดคริปโทเข้าสู่ “ขาขึ้น” หรือ “ตลาดกระทิง” เนื่องจากเริ่มใกล้เข้าสู่ “ปีทอง” ของ “บิตคอยน์” หรือ “บิตคอยน์ ฮาฟวิ่ง” ในทุกๆ 4 ปีนั่นเอง อาจทำให้ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดกลับมาคึกคัก
ต้องยอมรับว่า “บิตคอยน์ฮาฟวิ่ง” ไม่ใช่ตัวแปรสำคัญเพียงอย่างเดียวแล้ว เพราะตลาดคริปโทได้รับแรงหนุนจาก “เทคโนโลยี” ที่พัฒนาอย่างก้าวหน้าในอุตสาหกรรมคริปโท และมีการยอมรับ “คริปโท” มากกว่ากสรเป็นสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
คำว่า คริปโท, บล็อกเชน และ web3 เป็นที่รู้จักมากขึ้น และถูกนำมาใช้ในหลายๆองค์กร หลายรูปแบบ เช่น Facebook รีแบรนด์ใหม่เป็น Meta รวมทั้งการที่ธนาคารบางแห่งเริ่มมีบริการที่เกี่ยวข้องกับคริปโท
ย้อนกลับไปใน “ตลาดกระทิง” ปี 2564 มีหลายปัจจัยใหม่เป็นตัวกระตุ้น จุดสำคัญมาจากการยอมรับของสถาบันหลายแห่ง และแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น สู่ความกังวลเรื่องปัญหา “เงินเฟ้อ” ในช่วงของโรคระบาดโควิด 19 ที่มีการ “ล็อกดาวน์” ทำให้นักลงทุนมุ่งสู่การลงทุนในรูปแบบ “ออนไลน์” ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้กับตลาด “สินทรัพย์ดิจิทัล”
5 ปัจจัยที่เป็นโอกาสช่วยดันตลาด "คริปโท" เข้าสู่ตลาด"ขาขึ้น"อีกครั้ง มีอะไรบ้าง
- Bitcoin Halving
เหตุการณ์ที่ชุมชนคริปโทต่างตั้งตารอ คือ "Bitcoin Halving" จะเกิดขึ้นทุก ๆ ประมาณ 4 ปีส่งผลให้นักขุดบิตคอยน์ ได้รับ Bitcoin Reward จากการฮาฟวิ่ง ซึ่งจะเป็นวัฎจักรจนกว่าเครือข่ายจะปล่อยเหรียญออกมาหมุนเวียนครบ 21 ล้านเหรียญ ตามสถิติแล้วการฮาฟวิ่งครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นใประมาณเดือนเมษายน 2567
ทุกครั้งที่เกิดการฮาฟวิ่ง จะส่งผลให้ราคาของเหรียญบิตคอยน์มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเมื่อดีมานด์เพิ่มขึ้น แต่ซัพพลายลดลงนั่นเอง
เกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการ หรือ Managing Director ของ Bitget กล่าวว่า ความคาดหวีงของนักลงทุน ต่อบิตคอยน์ฮาฟวิ่ง ในช่วงปลายปี 2566 จะเป็นแรงบวกกระตุ้นตลาดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ขาขึ้น และหลังจากที่เกิดบิตคอยน์ฮาฟวิ่งแล้ว ราคาของบิตคอยน์จะเพิ่มขึ้น รวมถึงคริอปโทอื่นๆจะเพิ่มสูงขึ้นด้วย
2.การใช้งานจริง
ประโยชน์ที่แท้จริงของ คริปโท เป็นหนึ่งสิ่งที่นักวิเคราะห์มองว่านักลงทุนจะเห็นถึงความสำคัญในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น ที่สามารถนำคริปโทเข้ามาใช้ในสถานหารณ์จริง มากกว่าการเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว
เฉิน มองว่า ในตลาดกระทิงครั้งที่ผ่านมาตลาดอาจได้รับแรงผลักดันจากโฆษณาเกินจริงและการเก็งกำไร แต่เชื่อว่านักลงทุนเริ่มฉลาดขึ้นและมีวิจารณญาณมากขึ้นในการตัดสินใจลงทุน พร้อมกับมีผู้คนเข้าสู่ตลาดคริปโทมากขึ้นและให้ความสนใจไปที่คริปโทมากขึ้น นักลงทุนจะมองหาโปรโตคอลที่แก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงและมีผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริง
3.“เงินเฟ้อ” และความผันผวนของเศรษฐกิจ
ในบางช่วง “บิตคอยน์” แข็งแกร่งเหนือตลาดอื่นๆ จนถูกกล่าวว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในโลก ตามดัชนีคอยน์มาร์เก็ตแคป บิตคอยน์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 60% แล้วในปีนี้
วิลเลียม ซิลเก้ หัวหน้าเจ้าหน้าที่การตลาดของ BitPay กล่าวว่าในระดับเศรษฐกิจมหภาค อัตราเงินเฟ้อยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งล่าสุด ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวัง ท่ามกลางความผันผวน บิตคอยน์ อาจเกิดขึ้นเพื่อป้องกันอัตราเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนของธนาคาร ทำให้ราคาเหรียญปรับตัวสูงขึ้น
4. ศักยภาพของ DePIN
DePIN ซึ่งย่อมาจาก “Decentralized Physical Infrastructure Networks” อธิบายถึงเครือข่ายที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ทางกายภาพและฮาร์ดแวร์ เพื่อมาช่วยจัดการโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ ซึ่งอาจรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น โครงข่ายไฟฟ้าหรือระบบขนส่ง
แทนที่จะมีหน่วยงานกลางเพียงแห่งเดียวที่รับผิดชอบ แต่ละอุปกรณ์หรือโหนดในเครือข่ายสามารถสื่อสารและแบ่งปันทรัพยากรระหว่างกันโดยตรง ทำให้โครงสร้างพื้นฐานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีโอกาสล้มเหลวน้อยลง
แม็กซ์ แท็ค ผู้ร่วมก่อตั้ง blockchain network peaq กล่าวว่าในหลายภาคส่วนเริ่มสำรวจศัยภาพในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่าง ๆ และทำให้เกิดการแข่งขันที่แท้จริงแม้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆในตลาด แต่สิ่งนี้ก็ได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งแท็คมองว่า DePIN เป็นโมเดลที่ดีที่สุดสำหรับการนำไปใช้จริงในบล็อกเชนของโลก web3
5.ระบบนิเวศน์ที่มีความยั่งยืน
มาร์ค เลวิน (Markus Levin) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท XYO หนึ่งในโปรโตคอลที่อยู่บนอีเธอเรียม เชื่อว่า อุตสาหกรรมคริปโทยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องพิสูจน์ หลังจากวิกฤตที่จางลง เพื่อทำให้ผู้คนกลับมามีความเชื่อมั่นต่ออุตสาหกรรมอีกครั้ง
“ตลาดหมีคริปโท ปี 2565 เละไม่เป็นท่า” เลวิน กล่าว
ดังนั้นสำหรับการ bull run ครั้งต่อไป เหล่านักลงทุนจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูที่แท้จริง ทั้งในเรื่องความปลอดภัย และความยั่งยืน รวมทั้งสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย
เลวิน มองว่า อุปสรรคใหญ่ 2 ประการ คือ "การสร้างระบบนิเวศที่มีความยั่งยืน" และ "การมอบความรู้ในเรื่องเทคโนโลยี Blockchain" เพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถศึกษาเองได้ ซึ่งหากสามารถแก้ 2 จุดนี้ได้ bull run ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม