จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า 'บิตคอยน์' ชนะดอลลาร์ เพราะคริปโทถูกสร้างมาแก้ปม ‘เงินเฟ้อ’
การมาของ Bitcoin ETF เป็นการปฏิวัติระบบการเงินของโลก เพราะ Bitcoin ETF ได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต.สหรัฐ ถือว่าช่วยค้ำประกันอนาคตของบิตคอยน์ รวมทั้งการที่บิตคอยน์ถูกสร้างมาเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ หากกลายเป็นสินทรัพย์ที่เก็บมูลค่าได้ดีกว่าธนบัตร อาจโดนสหรัฐแบน
Keypoint:
- การมาของ Bitcoin ETF หรือ กองทุน “บิตคอยน์” ว่าเป็นการปฏิวัติระบบการเงินของโลก
- Bitcoin ETF ช่วยค้ำประกันอนาคตของบิตคอยน์ ต่อระบบการเงินในสหรัฐ
- Bitcoin ถูกสร้างมาเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
- รัฐบาลสหรัฐจะแบน Bitcoin ก็ต่อเมื่อกลายเป็นสินทรัพย์ที่เก็บมูลค่าได้ดีกว่าธนบัตร และเอาชนะ "ดอลลาร์" ได้
นิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) หนึ่งในนิตยสารด้านธุรกิจ กล่าวถึงการมาของ Bitcoin ETF หรือ “กองทุนบิตคอยน์” ว่าเป็นการปฏิวัติระบบการเงินของโลก โดยมองว่า Bitcoin ETF เป็นมากกว่าปัจจัยที่ทำให้ ราคาบิตคอยน์ (Bitcoin) เพิ่มขึ้น เพราะนั่นเป็นแค่เป้าหมายระยะสั้น
แต่จริงๆ แล้ว Bitcoin ETF ช่วยเสริมอำนาจให้กับ บิตคอยน์ ในการเป็นสินทรัพย์ที่ไม่สามารถถูกจัดการได้โดยรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้ควบคุมระบบการเงินของโลก ดังนั้นการที่บิตคอยน์สามารถลงรากในสหรัฐได้นั้นจึงเป็นการตอกย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง ซึ่งจะพลิกโฉมโลกการเงินไปตลอดกาล
‘คริปโท’ เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา ‘เงินเฟ้อ’
เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) ได้เผยแพร่ white paper ของบิตคอยน์ออกมา ซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเก่าแก่ของระบบเศรษฐกิจการเมืองของเงิน อันเนื่องมาจากแรงจูงใจทางการเมืองของรัฐบาล ที่มักต้องการใช้จ่ายเงินมากกว่าที่เก็บภาษีได้ เหตุเพราะการเพิ่มค่าใช้จ่ายภาครัฐมักได้รับความนิยม ในขณะที่การขึ้นภาษีกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ รัฐบาลจึงมักใช้กลยุทธ์ในการกู้ยืมเงินมาชดเชยส่วนต่าง แต่เมื่อการกู้ยืมไม่เพียงพอ รัฐบาลก็เลือกที่จะพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นเอง ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และลดค่าของเงินตราประจำชาติ
ในระยะสั้น การพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมักถูกนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ทางการเมือง เพราะการใช้จ่ายงบประมาณตอบแทนกลุ่มผู้สนับสนุน ช่วยให้นักการเมืองมีโอกาสชนะการเลือกตั้งซ้ำ อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การมีเงินหมุนเวียนมากเกินไป ส่งผลให้ค่าของเงินแต่ละหน่วยลดลง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “ภาวะเงินเฟ้อ”
นากาโมโตะ และผองเพื่อนของเขา จึงแก้ไขปัญหานี้ด้วยการกำหนดปริมาณของ บิตคอยน์ ไว้ที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งไม่เหมือนกับสกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์ ยูโร เยน หรือสกุลเงินเหรินหมินปี้ของจีน ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นตามเวลา จำนวนบิตคอยน์ทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่ไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงโดยผู้มีอำนาจทางการเมืองได้ง่ายดาย ด้วยคุณสมบัติข้อนี้ ในทางทฤษฎีบิตคอยน์ จึงเป็นแหล่งเก็บมูลค่าที่น่าเชื่อถือกว่าในระยะยาว เมื่อเทียบกับสกุลเงินเฟียตของยุคปัจจุบัน
รัฐบาลสหรัฐจะแบน Bitcoin มั้ย?
รัฐบาลสหรัฐ จะเพ่งเล็ง และทำการแบนคริปโทเคอร์เรนซี ก็ต่อเมื่อบิตคอยน์ กลายเป็นสินทรัพย์ที่เก็บมูลค่าได้ดีกว่าธนบัตรขึ้นมา
เรย์ ดาลิโอ (Ray Dalio)ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associate เห็นด้วยกับความเป็นไปได้นี้ โดยในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2564 เขาชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเป็นช่วงสงครามที่รัฐบาลเกิดความกลัวที่คนจะหันไปเก็บทองแทนที่เงินดอลลาร์ จึงสั่งห้ามไม่ให้มีการครอบครองทองคำเป็นการส่วนตัว พร้อมกับจัดตั้งหน่วยงานควบคุมเงินตราต่างประเทศเพื่อให้มั่นใจได้ว่าเงินจะไม่ออกไปไหน
แต่ในกรณีของบิตคอยน์นั้น รัฐบาลสหรัฐไม่สามารถทำการแบนได้เหมือนกับอินเทอร์เน็ต เพราะบิตคอยน์ นั้นทำงานด้วยระบบเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ (decentralize networks) ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของรัฐ
ตัวอย่างของการแบนคริปโทก็มีให้เห็นกันอย่าง เช่น จีนที่ทำสั่งแบนการขุดคริปโทในปี 2564 แต่ทาง Cambridge Centre for Alternative Finance กลับรายงานว่า 1 ใน 5 พลังงานที่ใช้ในการขุดมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วงต้นปี 2565 ขณะที่ประชาชนก็ได้หาวิธีเล็ดลอดต่างๆ เช่น การใช้ VPN หรือ การนัดพบปะกันในที่สาธารณะเพื่อแอบทำแลกเปลี่ยนคริปโท โดยไม่ให้หน่วยงานรัฐรู้
แม้ว่าการแบนของจีนอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ใช่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะไม่สามารถทำอะไรได้ โดยรัฐบาลสามารถสั่งห้ามให้เหล่ากระดานเทรดชื่อดังใช้เงินดอลลาร์ในการแลกเปลี่ยนได้ ซึ่งจะทำให้ธนาคารต่างๆ ไม่สามารถทำธุรกิจร่วมกับ exchange เหล่านี้ได้
นอกเหนือจากนี้รัฐบาลยังสามารถสั่งห้ามให้บริษัทต่างๆ ถือบิตคอยน์ไว้ในมือเช่น Microstartegy ผ่านคำสั่งของ ก.ล.ต. ซึ่งจะเกิดเป็นอุปสรรคให้ภาคค้าปลีกไม่สามารถรับ Bitcoin ในการชำระเงินได้
พูดง่ายๆ ก็คือ ถึงภาครัฐจะไม่สามารถหยุดบิตคอยน์ได้แต่ก็ยังสามารถสร้างความลำบากให้กับประชาชนในการใช้งานภายในประเทศ
Bitcoin ETF ค้ำประกัน Bitcoin ไม่ให้โดนแบน
ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจากที่ได้กล่าวมาด้านบนนั้นอาจจะเป็นโมฆะไปโดยปริยาย ด้วยการมาของ Bitcoin ETF เพราะในขณะนี้บิตคอยน์ ได้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงต่อ ยักษ์ใหญ่ด้านการเงินระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น BlackRock , Fidelity , Invesco เป็นต้น
ทำให้ในขณะนี้มีนักลงทุนจำนวนมากสามารถเข้าถึงบิตคอยน์ได้โดยไม่ต้องมานั่งเทรดบน Exchange หรือถือเหรียญไว้กับตัว ช่วยส่งเสริมให้ตัวบิตคอยน์นั้นเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ซึ่งหากคุณเป็นนักการเมืองหรือหน่วยงานที่มีการต่อต้านบิตคอยน์ ในขณะนี้จะไม่ใช่แค่ผู้ถือเหรียญเท่านั้นที่จะออกมาเรียกร้อง หรือ ร้องเรียน แต่จะเป็นเหล่าสถาบันการเงินอีกด้วย ซึ่งเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการทำให้เหล่านักร่างกฎหมายต้องคิดทบทวนถึงการกระทำของตน
ก.ล.ต. สหรัฐผู้อนุมัติ Bitcoin ETF
ก.ล.ต. สหรัฐ เข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ ว่าการอนุมัติ Bitcoin ETFs จะส่งผลอย่างไร ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไมการอนุมัติ Bitcoin ETF จึงเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของคณะกรรมาธิการที่จะมาตัดสินใจว่าบิตคอยน์ เป็นการลงทุนที่ดีหรือไม่ นั่นเป็นหน้าที่ของนักลงทุน และตลาดในการตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก.ล.ต. ยืนกรานต่อต้านการให้นักลงทุนเข้าถึงบิตคอยน์ นี่เป็นเพราะว่า ก.ล.ต. ทราบดีว่า ความไม่แน่นอนดังกล่าวสามารถเพิ่มความสนใจของนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างมาก
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า Bitcoin เอาชนะ "ดอลลาร์" ได้
แม้ว่าตอนนี้จะหายห่วงได้ว่าบิตคอยน์ จะรอดจากเงื้อมมือของเหล่ารัฐบาล แต่ถ้าหากในอนาคต บิตคอยน์โตขึ้นอย่างมาก จนสามารถเอาชนะเงินดอลลาร์ได้ รัฐบาลสหรัฐจะกลับลำมาโจมตีหรือไม่ ซึ่งคำตอบคือ “ใช่” แต่ในเวลานั้นมันคงจะสายเกินไปแล้ว
จากกรณีศึกษาของ อาร์เจนตินา ที่ห้ามไม่ให้ประชาชนแลกเปลี่ยนเงินมากกว่า 200 อาร์เจนตินาเปโซ ไปเป็นเงินดอลลาร์ต่อปี แม้ว่าจะมีการลิมิตแต่ธนาคารกลางอาร์เจนตินา กลับรายงานว่ามีชาวอาร์เจนตินาถือเงินดอลลาร์มากกว่า 10% ของอุปทานทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมร่วม 200,000 ล้านดอลลาร์
ดังนั้น หากใช้ตรรกะเดียวกันในการคิด มูลค่าตลาดที่บิตคอยน์จะมีได้จากการยอมรับการใช้งานกันทั่วโลกจะอยู่ที่ 7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถ้าหากมีการโจมตี หรือ สั่งห้ามใดๆ เกี่ยวกับบิตคอยน์ จะเกิดการตีกลับอย่างแน่นอน เพราะจะเป็นการยืนยันว่าทางรัฐบาลสหรัฐไม่มั่นใจในมูลค่าของสกุลเงินของตน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการอนุมัติ Bitcoin spot ETF เป็นก้าวแรกในการเริ่มต้นการปฏิวัติทางการเงินของคริปโทเคอร์เรนซี ที่จะมาแก้ปัญหาเงินเฟียตที่นับวันจะยิ่งถูกลดทอนมูลค่าลง
อ้างอิง forbes
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์