สรรพสามิตศึกษาเก็บภาษี5สินค้าปล่อยคาร์บอน
สรรพสามิตศึกษาเก็บภาษี5สินค้าปล่อยคาร์บอน ชี้เป็นแนวจัดเก็บทิศทางเดียวกับประเทศอื่นทั่วโลก หากไม่จัดเก็บจะกระทบต่อการส่งออกสินค้า ระบุ 2 แนวทางหลัก คือ เก็บจากตัวสินค้าที่ปล่อยคาร์บอน หรือ เก็บจากกระบวนการผลิต
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า กรมฯกำลังศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีการปล่อยก๊าซคาร์บอนหรือcarbon tax ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยหลีกเลี่ยงใม่ใด้ ที่จะต้องจัดเก็บเนื่องจาก ปัจจุบันหลายประเทศในโลกเริ่มจัดเก็บภาษีตัวนี้แล้ว เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
“กลุ่มประเทศอียูเป็นประเทศแรกๅในโลกที่จะเริ่มจักเก็บ carbon tax ในปีหน้า โดยเริ่มจาการสินค้าที่มีผลต่อการปล่อยคาร์บอนสูง 5 ชนิด คือ ปูนซีเมนต์ เหล็ก อลูมิเนียม ปุ๋ยเคมี และการผลิตกระแสไฟฟ้า”
เขากล่าวว่า เมื่อหลายประเทศในโลกเริ่มเก็บภาษีตัวนี้แล้ว จะทำให้กระทบต่อการส่งออกสินค้ากรณีที่สินค้าในประเทศใทยไม่มีการจัดเก็บภาษีตัวนี้ เมื่อเราส่งสินค้าใปขายในประเทศที่มีภาษีตัวนี้ สินค้าใทยก็ต้องเสียภาษีตัวนี้ด้วย แต่หากเรามีการจัดเก็บภาษีตัวนี้ ก็อาจสามารถเจรจากับประเทศที่เราส่งออกสินค้าเพื่อขอยกเว้นภาษีตัวนี้และสามารถส่งออกสินค้าได้
สำหรับแนวทางการจัดเก็บภาษีนั้น ตามหลักสากลจะมีวิธีการเก็บภาษีคาร์บอนอยู่ 2 แนวทางคือ การเก็บภาษีบนตัวสินค้าที่ปล่อยคาร์บอน กล่าวคือ ถ้าสินค้าใดปล่อยคาร์บอนสูงก็เสียภาษีสูง เป็นต้น กับอีกแนวทางหนึ่ง คือ การเก็บภาษีบนกระบวนการผลิตของโรงงาน ซึ่งต้องคำนวณการปล่อยคาร์บอนของโรงงานนั้นว่าปล่อยออกมาเท่าใหร่เพื่อใช้เป็นฐานในการจัดเก็บภาษีตัวนี้ ซึ่งการจัดเก็บภาษีบนกระบวนการผลิต เป็นเรื่องยากและกรมฯยังไม่มีความรู้ จึงจำเป็นต้องร่วมมือกับองค์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ช่วยคำนวณให้
“การริเริ่มที่จัดเก็บภาษีคาร์บอนนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของทิศทางของกรมสรรพสามิต ที่ต้องการเป็นกรมที่ส่งเสริมให้เกิด ESGโดยใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือในการสนับสนุน”
เขากล่าวอีกว่าในปัจจุบันมี 4 เทรนด์ที่ท้าทายต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลต่อการดำเนินงานของกรมสรรพสามิต ได้แก่ 1. การฟื้นตัวจากโควิด-19 ท่ามกลางสงครามการค้าและราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น 2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีที่ส่งผลให้เกิด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของภาคธุรกิจและผู้บริโภค 3. สังคมผู้สูงอายุส่งผลให้ธุรกิจด้านสุขภาพมีการเติบโตมากขึ้นและ 4. ภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกทำให้ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้มาตรการทางภาษีเป็นตัวขับเคลื่อน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า บทบาทของกรมสรรพสามิตนอกจากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างมาตรฐานและผลักดันในเรื่องดังกล่าวโดยใช้มาตรการภาษีสรรพสามิต ทั้งในด้านการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้เติบโต หรือในขณะเดียวกันก็สามารถใช้มาตรการภาษีในการช่วยลดการบริโภคในสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย