‘เพดานหนี้’ สหรัฐ ส่อป่วนตลาดหุ้นโลก?
“สหรัฐ” อาจจะเผชิญกับการ “ผิดนัดชำระหนี้” แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะมีการผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้แล้ว แต่กว่าผู้นำจะลงนาม “ตลาดหุ้นสหรัฐ” ก็คงปั่นป่วนไม่น้อย และส่งผลกระทบไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก
เหลืออีกไม่ถึง 3 สัปดาห์จะเป็นวันชี้ชะตาว่า “สหรัฐ” ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก มีผู้คนใช้สกุลเงินมากสุดในโลกจะเผชิญกับการ “ผิดนัดชำระหนี้” หรือไม่? ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า เหตุการณ์ที่ว่านี้ “ไม่มีทาง” เกิดขึ้นแน่นอน เพราะพรรครีพับลิกันที่ครองเสียงข้างมากในสภา ได้ผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอลงนามโดย “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐเท่านั้น!
ฟังอย่างนี้แล้วคงจะเบาใจว่า ยังไง “ไบเดน” ก็คงลงนามอนุมัติอย่างแน่นอน เพราะคงไม่มีประธานาธิบดีคนไหนที่บ้าระห่ำยอมให้ “รัฐบาล” ตัวเองไปเบี้ยวหนี้คนอื่น ในขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า กว่าไบเดนจะยอมลงนาม คงเกิดการเจรจาต่อรองหรือถกเถียงกันอีกมาก ถึงตอนนั้นตลาดหุ้นสหรัฐก็คงปั่นป่วนไม่น้อย และแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบลามไปยังตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา (9 พ.ค.) ถือเป็นนัดแรกที่ “ไบเดน” จะพบปะกับ “เควิน แมคคาร์ธี” ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน เพื่อเจรจาต่อรองหาทางออกในเรื่องนี้ร่วมกัน
สาเหตุที่นักวิเคราะห์กลุ่มนี้มองว่า ไม่ง่ายที่ ไบเดน จะยอมลงนามในร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ที่พรรครีพับลิกันเสนอเอาไว้ เพราะร่างกฎหมายฉบับนี้ มุ่งตัดลดงบประมาณในโครงการที่พรรคเดโมแครตใช้ในการหาเสียง เช่น นโยบายจูงใจด้านพลังงานสีเขียว นโยบายปลดหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา นโยบายหาเสียงช่วยเหลือทางการเงินในช่วงโควิด รวมไปถึงนโยบายด้านงบประมาณล่าสุดที่จะใช้ในการจัดเก็บภาษีอากรของสหรัฐ
กรณีที่กล่าวมานี้ทำให้ ไบเดน ต้องคิดหนัก เพราะด้านหนึ่งก็จำเป็นต้องรีบผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ออกไป แต่นั่นก็หมายความว่าจะมีผลต่อการดำเนินนโยบายตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ด้วย แต่ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อและมองตรงกันว่า สุดท้ายทั้ง 2 พรรค คงต้องหาทางเจรจาเพื่อให้การขยายเพดานหนี้บรรลุผลสำเร็จ เพราะไม่เช่นนั้นจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจสหรัฐและความน่าเชื่อถือในสกุลเงินดอลลาร์อย่างแน่นอน ซึ่งในอดีตพบว่ามีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คือ ในปี 1979 ที่สหรัฐเผชิญปัญหาผิดนัดชำระหนี้ แต่ก็เป็นเพียงทางเทคนิค เนื่องจากสภาคองเกรสเพิ่มวงเงินในช่วงเวลาเฉียดฉิว
สำหรับในครั้งนี้ยังมีเวลาอีกร่วมๆ 3 สัปดาห์ที่ประธานาธิบดี ไบเดน จะลงนาม แต่ก็เป็น 3 สัปดาห์ที่นักลงทุนในตลาดหุ้นคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ทั้ง 2 พรรค จะเล่นเกมการเมืองนี้อย่างไร เพราะถ้ายังหาข้อสรุปร่วมกันไม่ได้ ตลาดหุ้นโลกจะกลายเป็นเหยื่อของการเมืองทั้ง 2 พรรคแน่นอน ยิ่งใกล้วันที่ต้องชำระหนี้เท่าไร หุ้นก็ยิ่งผันผวนมากเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่นักลงทุนไม่ควรประมาท!