ค่าเงินบาทวันนี้ 22 มิ.ย. 2566 ‘แข็งค่า’ หลังดอลลาร์อ่อน ไร้ปัจจัยใหม่จากเฟด

ค่าเงินบาทวันนี้ 22 มิ.ย. 2566 ‘แข็งค่า’ หลังดอลลาร์อ่อน ไร้ปัจจัยใหม่จากเฟด

ค่าเงินบาทวันนี้ 22 มิ.ย.2566 เปิดตลาด “แข็งค่า” ที่ 34.79 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย” ชี้เงินดอลลาร์พลิกอ่อนค่า หลังตลาดมองถ้อยแถลงประธานเฟดยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จับตาต่างชาติอาจทยอยกลับเข้าซื้อบอนด์ไทยมากขึ้นได้ มองกรอบเงินบาทวันนี้ 34.70-34.90 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้" (22 มิ.ย.2566)  เปิดตลาดเช้านี้ ที่ระดับ 34.79 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.84 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.70-34.90 บาทต่อดอลลาร์

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า "เงินบาท"เคลื่อนไหวอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้าน 34.90 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลงใกล้แนวรับ ก่อนที่เงินดอลลาร์จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังตลาดมองว่า ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ไม่ได้มีความแตกต่างจากสิ่งที่ได้กล่าวในช่วงการประชุมเฟดมากนัก

ค่าเงินบาทวันนี้ 22 มิ.ย.2566 เปิดตลาด ‘แข็งค่า’

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท ประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อได้บ้าง แต่ทว่า เรายังคงมองว่า เงินบาทอาจไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่า ในการทยอยขายทำกำไรสถานะ Short THB และขายเงินดอลลาร์ สำหรับผู้ส่งออกบางส่วน 
 
นอกจากนี้ ในช่วงเย็นราว 18.00 น. เงินบาทก็มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้ หาก BOE ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยตามคาด พร้อมส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า พร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีกหลายครั้ง จนกว่าจะสามารถคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ ซึ่งภาพดังกล่าว จะช่วยหนุนให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ทยอยแข็งค่าขึ้น กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้บ้าง แต่ทั้งนี้ เงินบาทก็อาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นมาก

โดยเราประเมินว่า แนวรับในระยะสั้นอาจอยู่ในโซน 34.60-34.70 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งผู้นำเข้าที่จะเริ่มทยอยซื้อเงินดอลลาร์ สำหรับธุรกรรมช่วงปลายเดือน รวมถึงแรงซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงนี้
 
นอกจากนี้ ทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มเป็นฝั่งขายสุทธิ โดยเฉพาะในฝั่งหุ้น หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากที่รีบาวด์ขึ้นชัดเจนในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยกลับเข้าซื้อบอนด์ไทยมากขึ้นได้ หลังจากที่บอนด์ยีลด์ได้ปรับตัวขึ้นบ้างในช่วงที่ผ่านมา และเราก็เริ่มเห็นสัญญาณการกลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทยของนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น
 
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและการปรับเปลี่ยนมุมมองไปมาของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายเฟด ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (Tesla -5.5%, Alphabet -2.1%) หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อได้ จากถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรสที่ยังคงย้ำจุดยืน เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ลดลง -1.21% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.52%
 
ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.50% หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า บรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ จากรายงานอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้กดดันให้ หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ฝั่งยุโรปปรับตัวลดลง เช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ (Adyen -1.7%, ASML -1.6%) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +2.2%, Shell +1.8%) ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาน้ำมันดิบ
 
ตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลดลงใกล้ระดับ 102 จุด หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรสที่ไม่ได้แตกต่างจากการแถลงหลังประชุมเฟด เนื่องจากประธานเฟดยังคงเน้นย้ำจุดยืนเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งตลาดก็ได้รับรู้มุมมองดังกล่าวไปมากแล้ว ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำจะมีจังหวะปรับตัวลงแรงทดสอบโซนแนวรับ แต่การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังตลาดทยอยรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) รีบาวด์ขึ้นสู่โซน 1,940-1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของทองคำได้ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา
 
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนพฤษภาคมที่ออกมาสูงถึง 8.7% (สูงกว่าที่ตลาดคาดและเป็นการเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ) จะส่งผลให้ BOE จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย +25bps สู่ระดับ 4.75% พร้อมกับส่งสัญญาณชัดเจนว่า การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องยังมีความจำเป็น (ผู้เล่นในตลาดคาดว่า BOE อาจขึ้นดอกเบี้ยจนถึงระดับ 5.75%)
 
นอกจากนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง (Initial & Continuing Jobless Claims) ของสหรัฐฯ เพื่อประเมินแนวโน้มตลาดแรงงาน พร้อมทั้งจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะการแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรสในวันที่ 2