มอร์นิ่งสตาร์ ชี้ “Rebalance Nasdaq 100” รอบพิเศษ ส่งผลจำกัด ต่อนักลงทุน
"มอร์นิ่งสตาร์" ฉายภาพ “Rebalance ของ Nasdaq 100” ส่งผลกระทบต่อ กองทุน ETF และ Index Fund ปรับพอร์ตตามดัชนี และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น คาดกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทุนเล็กน้อย ยังส่งผลต่อนักลงทุนและราคาหุ้นอย่างจำกัด
“Nasdaq 100 Index” กำลังจะทำการ Rebalance รอบพิเศษ เพื่อแก้ไขเรื่องการกระจุกตัวของ Index จากหุ้นบางกลุ่มในวันที่ 24 ก.ค. นี้
“Nasdaq 100 Index” ซึ่งเป็น Index ที่ ETF ขนาดใหญ่อย่าง Invesco QQQ Trust (QQQ) ลงทุนล้อตามนั้น เรามาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปนั้นจะส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุนใน ETF และ Index Fund
นักวิเคราะห์ “มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย)” ให้มุมมองถึงการเปลี่ยนแปลงในวันที่ 24 ก.ค.นี้ ว่า ที่ผ่านมา Nasdaq 100 Index มีน้ำหนักกระจุกตัวอยู่ในหุ้นแค่บางกลุ่มมานานแล้ว การทำ Rebalance รอบพิเศษนี้จึงจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องดังกล่าว
ทำให้คาดว่า “น้ำหนักของกลุ่ม Magnificent Seven จะถูกปรับลดลง” แต่ก็ คาดว่า "จะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” จากสัดส่วนรวมในปัจจุบันที่มีค่ารวมกันเกินกว่า 50% ของ Index โดย Nasdaq จะประกาศแผนการก่อนที่จะทำการ Rebalance จริงประมาณหนี่งสัปดาห์
โดย “การบริหารกองทุน ที่ลงทุนล้อตาม "Nasdaq 100 Index” แน่นอนว่า จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงการลงทุน โดยจะต้องทำการขายหุ้นหลักๆที่ถืออยู่ตาม Index ออกไป และซื้อหุ้นตัวอื่นเข้ามาใน Portfolio ตาม Index ซึ่งรายการซื้อขายดังกล่าวจะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ก.ค. นี้
ส่วนทางด้านผลกระทบต่อนักลงทุน ที่ในกองทุนที่ล้อตาม Nasdaq 100 Index จะพบว่า “Portfolio มีการปรับเปลี่ยนไป” และจะ “มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อกองทุน” จากการทำรายการซื้อขายหุ้นเพื่อ Rebalance รวมถึงมีภาษีจ่ายจากการขายหุ้นของกองทุนในกลุ่มที่มีราคาหุ้นปรับขึ้นมามากออกไป ซึ่งคาดว่า “จะกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทุนได้เล็กน้อย”
ทั้งนี้ "กองทุนไทย" ที่ล้อตาม Nasdaq 100 Index เป็นนโยบายการลงทุนหลัก (ตัด share class ออกไป) ปัจจุบันมีราว 5 กองทุนเท่านั้น
ปัจจุบันกองทุนในไทยที่ไปลงทุนในกองทุน Invesco NASDAQ 100 ETF ซึ่งมีนโยบายลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามดัชนีหุ้นสหรัฐ Nasdaq-100 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งสิ้นกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้มีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่39.37% (ในขณะที่ปีที่แล้วมีผลตอบแทนติดลบ เฉลี่ย -33.82%)
โดยผลตอบแทนของทุกกองจะค่อนข้างใกล้เคียงกันเนื่องจากลงทุนใน กองทุนหลักกองเดียวกัน โดยผลตอบแทนของกองทุนหลักอยู่ที่ 44.10%
รวมไปถึง นักลงทุนทั่วไป ในตลาดหุ้นสหรัฐจะได้ผลกระทบทางอ้อมไปด้วยจากการ Rebalance ครั้งนี้ จากการที่หุ้นในตลาดจะถูกซื้อและขายจำนวนมากกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐในครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ดี การทำ Rebalance ครั้งนี้ เกิดกับหุ้นกลุ่มที่มีสภาพคล่องสูง ทำให้มีผลกระทบต่อราคาหุ้นจำกัด
สำหรับ “Nasdaq 100 Index “ ประกอบไปด้วย 100 บริษัทที่ไม่ใช่สถาบันทางการเงิน หรือส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็น Benchmark ของ ETF และ Mutual fund ต่างๆทั่วโลก
โดยขนาดเงินลงทุนตาม Nasdaq 100 นี้สูงถึง 300 พันล้านดอลลาร์ โดยที่การลงทุนภายใต้ QQQ ตัวเดียวก็สูงถึง 200 พันล้านดออลาร์ แล้ว
การทำ Rebalance รอบพิเศษถูกกำหนดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้เพื่อรักษาความเหมาะสมของดัชนี ซึ่งจะไม่มีการเพิ่มหรือลดหลักทรัพย์ แต่จะปรับลดน้ำหนักหุ้นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดแทน โดยการ Rebalance ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่เคยเกิดขึ้นในปี 2541 และปี 2564
โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ตลาดหุ้นโดยรวมและดัชนี Nasdaq 100 ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งถูกขับเคลื่อนโดยหุ้นกลุ่ม Growth stocks เหล่านี้ หรือที่ถูกเรียกว่า Magnificent Seven ซึ่งได้แก่
• Microsoft MSFT (ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +38.93%)
• Apple AAPL (+45.52%)
• NVIDIA NVDA (+188.68%)
• Amazon.com AMZN (+51.35%)
• Tesla TSLA (+118.87%)
• Meta Platforms META (+144.39%)
• Alphabet Class A GOOGL (+31.98%) และ Class C GOOG (+31.71%)
ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นของราคาที่ผ่านมาทำให้บริษัททั้ง 7 นี้ มีผลต่อน้ำหนักปัจจุบันในดัชนี Nasdaq 100 Index รวมกันสูงถึง 55% ของ Index