‘หุ้นเวียดนาม’เด่นครึ่งปีหลัง ‘กองทุน’มองเป็นจังหวะเข้าลงทุน
“ตลาดหุ้นเวียดนาม” ยังได้อานิสงส์จากความคาดหวังว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯไม่น่าจะถดถอยรุนแรง ทำให้ภาคการส่งออกจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว ประกอบกับการประกาศงบของธนาคารต่างๆที่ออกมาดี หนี้เสีย (NPL) ไม่ได้สูง
รวมถึงต้นทุนทางการเงินมีการปรับลดลง หลังจากที่ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ปรับลดดอกเบี้ยลงเหลือ 5% ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนำไปสู่การเติบโตของหุ้นขนาดกลางและเล็ก และนักวิเคราะห์บางส่วนคาดว่า น่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกในช่วงครึ่งหลังของปี
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมานี้ นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้นเวียดนามคิดเป็นมูลค่า 38.2 ล้านดอลลาร์ นับเป็นการไหลเข้าของเงินลงทุนหลังจากที่มีการขายสุทธิในเดือนเม.ย.และพ.ค. ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นอื่นๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนักลงทุนต่างชาตินั้นต่างเทขายทำให้เม็ดเงินไหลออกสุทธิ
ปัจจัยดังกล่าว หนุนโอกาสการลงทุน “ตลาดหุ้นเวียดนาม” ในขณะนี้เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ที่จะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจมหภาคต่างๆ เช่น การผ่อนคลายนโยบายการเงินในการดูแลอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงของเวียดนาม
"ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ กล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของเวียดนามปี 2566 คาดอยู่ที่ 6.2% ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลเวียดนามได้มีการแก้ไขปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์และหุ้นกู้ที่เคยกดดันตลาดในปีที่ผ่านมา
โดยมองว่า ส่งผลดีต่อทิศทาง"ตลาดหุ้นเวียดนาม" มีเสถียรภาพมากขึ้น คาดว่าดัชนี VN Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1,000-1,100 จุด หรืออาจปรับตัวสูงถึง 1,200-1,250 จุดได้ หากตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ และยุโรป
แม้ว่าช่วงครึ่งแรกปี 2566 ของเวียดนามเติบโตไม่ได้มากเท่าประเทศพัฒนาแล้ว แต่คาดว่าตลาดจะกลับมาฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ได้รับแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด และมาตรการภายในของรัฐบาลเวียดนามเอง
อย่างไรก็ตามการที่ดัชนี VN Index ปี 2565 ได้ปรับลดลงอย่างมาก ส่งผลให้อัตราส่วน P/E ตลาดหุ้นเวียดนามต่ำที่สุดในรอบทศวรรษ ถือเป็นโอกาสการลงทุนระยะยาวที่ดีมาก
สำหรับดัชนี VN-index ปัจจุบันเพิ่มขึ้นกว่า 20% นับตั้งแต่ระดับต่ำสุดในเดือนพ.ย. 2565 หรือเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 8 เดือน หุ้นหลักของประเทศมีการเติบโตที่โดดเด่น ตัวอย่างเช่น Vietcom Bank เติบโตมากกว่า 30% ตั้งแต่ต้นปี
ขณะที่ผลตอบแทนของกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ธีมเวียดนาม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนได้แล้วถึง 23.73% (ณ 27 ก.ค.2566)
“ตราวุทธิ์” มองว่า สำหรับอุตสาหกรรมหลักในเวียดนาม ที่น่าลงทุนคือ “ภาคการผลิต” ซึ่งเป็นผู้รับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อันดับต้นๆ ของประเทศ ได้อานิสงส์จากค่าแรงงานที่ต่ำ ข้อตกลงทางการค้า และแรงงานที่มีทักษะ แม้จะมีการหยุดชะงักไปบางส่วนในปี 2565 ภาคการผลิตยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่สำคัญสำหรับการเติบโตในอนาคต
นอกจากนี้ “ภาคเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)” กำลังเติบโตในเวียดนามเช่นกัน ซึ่งเวียดนามเองมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมองค์กรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 80,000 แห่ง ภายในปี 2568 และมีการลงทุนที่สำคัญในธุรกิจสตาร์ทอัปด้านเทคโนโลยี การส่งเสริมการแปลงเป็นดิจิทัลของรัฐบาลและอุตสาหกรรม 4.0 เสนอโอกาสในการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ด้านไอที
“ กิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ ” ผู้บริหารฝ่าย ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ. กสิกรไทย กล่าวว่า เรายังคงมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นเวียดนาม โดยในระยะสั้นปัญหาด้านสภาพคล่องของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เริ่มผ่อนคลายลง ภายหลังรัฐบาลออกกฎหมาย Decree 8/2023 และธนาคารกลางแห่งเวียดนามกลับมาดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น รวมถึงคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทปีนี้ที่ยังน่าสนใจ
ในระยะยาวเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามจะยังคงเติบโตได้ดี จากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ยังคงเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง รายได้ของประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ระบบการเงินและค่าเงินของประเทศที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ตลอดจนการที่สหรัฐฯถอดเวียดนามออกจากประเทศบิดเบือนค่าเงินเป็นปัจจัยลดความกดดันต่อภาคการส่งออกของประเทศ
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นเวียดนามยังคงมีความผันผวนจากความกังวลต่อข่าวเชิงลบในประเทศ เนื่องจากการสอบสวนจากภาครัฐฯในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ที่ยังดำเนินต่อไป