‘เศรษฐา’ พบ ‘เศรษฐพุฒิ’ เมื่อ ‘พิราบ’ ปะทะ ‘เหยี่ยว’ ประชาชนเลือกฟังใคร?

‘เศรษฐา’ พบ ‘เศรษฐพุฒิ’ เมื่อ ‘พิราบ’ ปะทะ ‘เหยี่ยว’ ประชาชนเลือกฟังใคร?

อุณหภูมิในแวดวงการเงินร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ยอมรับตรงๆ ว่า มีกำหนดเข้าพบนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน”

อุณหภูมิในแวดวงการเงินร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ยอมรับตรงๆ ว่า มีกำหนดเข้าพบนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ในวันจันทร์ที่ 2 ต.ค.นี้ จริง

ตามที่เป็นกระแสข่าว แต่ยังไม่รู้ว่า นายกฯ เรียกหารือเรื่องอะไรบ้าง …ซึ่ง “เศรษฐพุฒิ” ย้ำกับผู้สื่อข่าวว่า พร้อมตอบทุกคำถาม!

อย่างที่บอก… ไม่มีใครรู้ว่า นายกฯ เรียกหารือเรื่องอะไรบ้าง แต่ถ้าไล่เรียงประเด็นระหว่าง “รัฐบาล” กับ “แบงก์ชาติ” ที่ดูเหมือนไม่ลงรอยกันในช่วงนี้ จะมี 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ

1.การแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ซึ่งเดิมรัฐบาลมีแผนออกเป็น Utility Token แต่ติดปัญหาว่า ธปท. ไม่อนุญาตให้เจ้า Utility Token เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ หรือ Means of Payment ทำให้รัฐบาลต้องหาวิธีอื่นในการแจกเงินดังกล่าว รวมทั้งวงเงินซึ่งนำมาใช้สูงถึง 5.6 แสนล้านบาท ทาง ธปท. จึงห่วงฐานะการคลัง และไม่เห็นด้วยกับนโยบายแจกเงินถ้วนหน้าเช่นนี้

2.นโยบาย “พักหนี้เกษตรกร” ที่เป็นลูกหนี้รายย่อยของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) วงเงินไม่เกิน 3 แสนบาท เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งเรื่องนี้ ธปท. ก็ไม่เห็นด้วย โดยมองว่าเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด จึงได้ทำหนังสือแสดงความเป็นห่วงส่งไปยังรัฐบาล
 
3.การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ของ ธปท. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สู่ระดับ 2.5% เป็นระดับที่สูงสุดรอบ 10 ปี แม้ว่า ธปท. จะปรับลดคาดการณ์ “เศรษฐกิจ” และ “เงินเฟ้อ” ลงมามาก เหลือเติบโตแค่ 2.8% และ 1.6% ตามลำดับ จากเดิม 3.6% และ 2.5% ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำกว่าการคาดการณ์เช่นนี้ ไม่เฉพาะแค่รัฐบาลเท่านั้น แต่คนในแวดวงเศรษฐกิจเองก็ตั้งคำถามประเด็นนี้กับทาง ธปท. เช่นเดียวกัน

แน่นอนว่าเรื่องราวระหว่าง “รัฐบาลเศรษฐา” กับ “แบงก์ชาติในยุคเศรษฐพุฒิ” อาจมีความเห็นที่ “ไม่ลงรอย” มากกว่า 3 เรื่องข้างต้น แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่า 3 เรื่องที่หยิบยกขึ้นมานี้ กำลังนำไปสู่ “จุดแตกหัก” ระหว่างรัฐบาลกับแบงก์ชาติในอนาคต หากทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถเปิดใจพูดคุยกันได้

ถ้ามองด้วยใจเป็นกลาง ต้องยอมรับว่า การแอ็กชั่นของทั้ง 2 ฝ่ายนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะ “ฝั่งรัฐบาล” ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในสาย “พิราบ” ที่ต้องการเห็นเศรษฐกิจเติบโตมากๆ เพราะสะท้อนถึงผลงานของตัวเอง  

แต่ในทางกลับกัน ฝั่งของ ธปท. ซึ่งมีหน้าที่รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน ก็มักจะอยู่ในฝั่งของ “เหยี่ยว” ที่ห่วงว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากจนเกินไปอาจทำให้สมดุลเศรษฐกิจระยะยาวเสียหายได้ การแก้ปัญหาจะยิ่งยากและหลายครั้งก็นำไปสู่วิกฤติที่รุนแรง ซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นในหลายๆ ประเทศ

 

การพบกันของทั้ง 2 ฝ่าย ในวันจันทร์นี้จึงเป็นที่จับจ้องของผู้คนในแวดวงเศรษฐกิจการเงินว่า หลังจากนี้จะมีอะไรออกมาบ้าง?

 

ถ้าฟังเสียงของนักเศรษฐศาสตร์หรือนักธุรกิจที่อยู่ในแวดวง ดูเหมือนจะมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับทั้ง 2 ฝั่ง โดยฝั่ง “รัฐบาล” แน่นอนว่า น้อยคนที่จะเห็นด้วยกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ซึ่งต้องใช้เม็ดเงินสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท แถมยังต้องไปปรับเงื่อนไขภาคการคลังเพื่อผลักดันนโยบายดังกล่าวออกมา ประเด็นนี้มีความเสี่ยงต่อ “ฐานะการคลัง” ในระยะข้างหน้า ที่สำคัญหลายคนกังวลว่านโยบายนี้จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่ได้ช่วยยกศักยภาพเศรษฐกิจไทยอย่างที่ควรเป็น

 

แต่ในฝั่งของ ธปท. เองก็มีแผลอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคาดการณ์เศรษฐกิจไตรมาส 2 ซึ่งผิดไปจากประมาณการณ์อย่างมาก ชนิดที่คนทำธุรกิจต้องกลับมาทบทวนแผนงานกันใหม่ แถมในช่วงที่ผ่านมา ธปท. พูดแต่สิ่งดีๆ จนนักธุรกิจ นักลงทุนมองข้ามความเสี่ยงที่ควรต้องระวัง จนเกิดอาการช็อกเมื่อเห็นตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 โตได้เพียง 1.8% จากที่มั่นใจว่าจะโตเกิน 3% ที่สำคัญยังต้องมางงกับการขึ้นดอกเบี้ยของ ธปท. ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ทรุดตัวลงหนักและเงินเฟ้อก็แผ่วลงชัดเจน

 

อย่างที่บอกไปว่า การหารือในวันจันทร์นี้ ไม่มีใครรู้ว่าจะพูดคุยเรื่องอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือ หลังจากนี้ทั้ง 2 ฝ่ายคงต้องแย่งชิง “เสียงของประชาชน” ว่า จะเห็นด้วยกับใคร ซึ่งในฝั่งของรัฐบาลเองก็ไม่ควรลืมว่า กระแสคัดค้านนโยบายประชานิยมสุดโต่งในอดีตก็เคยโค่นรัฐบาลมาแล้ว!