ค่าเงินบาทวันนี้ 6 ต.ค.66 ‘ทรงตัว’ รอจับยอดขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐ

ค่าเงินบาทวันนี้ 6 ต.ค.66  ‘ทรงตัว’  รอจับยอดขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐ

ค่าเงินบาทวันนี้ 6 ต.ค.66 เปิดตลาด “ทรงตัว”ที่ 36.93 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย” ชี้เงินบาทผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานสหรัฐ มีโอกาสแตะระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์ จับตาทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติ มองกรอบเงินบาทวันนี้ 36.70-37.20 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ เปิดเช้านี้ ที่ระดับ  36.93 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.85-37.05 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ  และประเมินกรอบเงินบาท 36.70-37.20 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ 

ในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในลักษณะ sideway (แกว่งตัวในช่วง 36.90-37.09 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง จากความกังวลว่า หากรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) วันศุกร์นี้ออกมาดีกว่าคาด อาจทำให้เฟดสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ หรือคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้

ค่าเงินบาทวันนี้ 6 ต.ค.66  ‘ทรงตัว’  รอจับยอดขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐ  

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideway ใกล้ระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทำให้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ก็อาจผันผวนไปตามทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติได้ โดยจากภาพตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ ในช่วงคืนที่ผ่านมา ซึ่งทั้งตลาดบอนด์และตลาดหุ้นยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน ทำให้เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง ก่อนรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้ 

อย่างไรก็ดี ควรระวังว่าตลาดการเงินอาจผันผวนสูงในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มขึ้นในช่วงเวลา 19.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย โดยหากยอดการจ้างงาน รวมถึงอัตราการเติบโตของค่าจ้าง ชะลอตัวลงได้ตามที่ตลาดประเมินไว้ หรือ ชะลอลงมากกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้ม Higher for Longer ของเฟด ซึ่งจะส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงได้บ้าง ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็มีแนวโน้มรีบาวด์ขึ้น ซึ่งในภาพดังกล่าว เราคาดว่า เงินบาทก็พร้อมจะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 36.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก ในทางกลับกัน หากข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง ก็อาจยิ่งหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นได้พอสมควร กดดันให้เงินบาทอาจอ่อนค่าเร็วทดสอบโซนแนวต้านแถว 37.25 บาทต่อดอลลาร์ได้

เรายังคงมองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงินความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

ผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน(Jobless Claims) ที่ออกมาดีกว่าคาด ยังสะท้อนภาพการจ้างงานที่สดใสอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil -2.3%) หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงพอสมควรในช่วงนี้ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.13% 

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 รีบาวด์ขึ้น +0.28% หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นสไตล์ Growth เช่นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (LVMH +1.1%, Adyen +1.1%) หลังบอนด์ยีลด์ระยะยาวฝั่งยุโรปก็ปรับตัวลดลงตามบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปยังเป็นไปอย่างจำกัด ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว

ในฝั่งตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าปรับสถานะถือครองมากนัก จนกว่าจะรับรู้รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ล่าสุด ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 4.70%-4.77% ก่อนที่จะแกว่งตัวใกล้ระดับ 4.72% ตามเดิม ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวได้ ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเราประเมินว่า downside risk ของการถือบอนด์ระยะยาวก็เริ่มจำกัดลงขณะที่ Upside potential ยังมีความน่าสนใจมากอยู่ 

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ย่อตัวลงใกล้ระดับ 106.4 จุด(กรอบ 106.3-106.8 จุด) โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเงินดอลลาร์ได้แข็งค่าขึ้นบ้าง ก่อนที่จะอ่อนค่าลง หลังเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน อาทิ Mary Daly (Fed San Francisco) ได้ให้ความเห็นว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ ในส่วนของราคาทองคำ ผู้เล่นในตลาดยังคงไม่กล้าเดินหน้าซื้อทองคำต่อเนื่อง เพื่อรอลุ้นรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมในวันศุกร์ อย่างไรก็ดี บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ที่ยังคงแกว่งตัว sideway ก็พอช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาดCOMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,835 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ต่อได้ ทั้งนี้ ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลงบ้างในคืนที่ผ่านมา ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจมีการเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าในช่วงดังกล่าว แต่หากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ อย่างน้อย+10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากโซนแนวรับ ก็จะหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรได้ และพอช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น หรือชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาท

 

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดย นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า การจ้างงานมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น โดย ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls:NFP) เดือนกันยายน อาจเพิ่มขึ้นราว 1.6 แสนราย ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นเกือบ 1.9 แสนราย (ซึ่งต้องจับตาว่า จะมีการปรับปรุงข้อมูลก่อนหน้าหรือไม่ เพราะในปีนี้ NFP มักจะถูกปรับลดลงราว -5 หมื่นตำแหน่ง หลังการปรับปรุงข้อมูล) ส่วนอัตราการว่างงานอาจทรงตัวที่ระดับ 3.8% ไม่ต่างจากเดือนก่อนหน้า เช่นเดียวกันกับ อัตราการเติบโตของค่าจ้าง(Average Hourly Earnings) ที่จะขยายตัว +4.3%y/y เท่ากับเดือนก่อนหน้า