เพิ่มการลงทุนใน Bond และ Healthcare รับมือ Hard landing
ตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาธนาคารกลางเริ่มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดทั้งการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายและการลดสภาพคล่องเป็นผลทำให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆ มีความผันผวน และนักวิเคราะห์ยังมีมุมมองที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 1 ปีข้างหน้าสูงถึง 60%
ทาง TISCO ESU ก็คาดว่าผลจากการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างเต็มที่และจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 12 เดือนก่อนที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง หรือ Hard recession ได้ เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจและการเงิน (Leading indicator) ปรับตัวลงมาใกล้เคียงช่วง Recession แล้ว
ทำให้นักลงทุนควรต้องกลับมาเริ่มกลับมาปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับภาพความเสี่ยงของเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเน้นในกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจ หรือได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ใน 2 ธีมการลงทุนได้แก่ ตราสารหนี้ (Bond), หุ้นอุตสาหกรรมสุขภาพ (Healthcare)
- ตราสารหนี้ : ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ เพราะนอกจากตราสารหนี้จะช่วยลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนแล้วยังได้รับประโยชน์สูงจากดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงในรอบทศวรรษและเปิดโอกาสได้กำไรส่วนเพิ่ม (Capital gain) จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้นสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับตัวลดลง จากการศึกษาของ TISCO ESU ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1984 พบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีสหรัฐฯ จะลดลงราว -50bps ถึง -150bps ในช่วง 6 เดือนหลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ทำให้ช่วงที่กำลังจะจบวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการลงทุนตราสารหนี้ โดยเน้นไปที่การลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกคุณภาพสูงและมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit rating) ในระดับ “investment grade” ที่มีเรตติ้งระดับโลกตั้งแต่ AA- ขึ้นไป
- หุ้นอุตสาหกรรมสุขภาพ (Healthcare) : ตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง เพราะธุรกิจ healthcare เป็นธุรกิจที่มีทั้งความเป็น defensive และ growth เนื่องจากทนทานต่อความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจและในขณะเดียวกันในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาดัชนี S&P500 Healthcare ยังสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึง 11.36% ต่อปีเป็นอันดับสองเป็นรองแค่เพียงกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่มีปัจจัยสนับสนุนระยะยาวจากการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุรวมถึงความก้าวหน้าของนวัตกรรมการผลิตยารักษาโรค อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นในกลุ่ม Healthcare มีความ Laggard จากตลาดโดยรวมค่อนข้างมาก ปัจจุบันดัชนี S&P500 Healthcare ซื้อขายกันที่ Forward PE 16.5x ต่ำกว่าดัชนี S&P500 ที่ 17.4x ขณะที่ Factset ประเมินการเติบโตในปี 24 คาดว่าอยู่ที่ระดับ 15.4% สูงกว่า S&P500 ที่โต 12.2% ทำให้มองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม Healthcare ในระดับที่เหมาะสมมากขึ้น
เศรษฐกิจโลกที่ยังดูแข็งแกร่งกำลังได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินและมีโอกาสในการเกิดความรุนแรงในระดับ Hard landing ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้และราคาสินทรัพย์โดยเฉพาะหุ้น แต่สำหรับนักลงทุนที่ยังอยากลงทุนต่อเนื่อง (Stay invest) คงต้องหาทางเลือกการลงทุนที่ได้ผลประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่าง ตราสารหนี้และหุ้นกลุ่ม Healthcare ซึ่งผลกระทบที่จำกัดและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวจะช่วยทำให้พอร์ตการลงทุนฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนอื่นในช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว