หลอกหมื่นล้าน! จับหนุ่มไต้หวัน-ญี่ปุ่น ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในไทย
ตำรวจรวบหนุ่มไต้หวัน-ญี่ปุ่น ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในไทย เสียหายร่วมหมื่นล้าน เผยมีผู้เสียหายร่วม 2 หมื่นราย
ตำรวจ ตม. จับหนุ่มไต้หวัน-ญี่ปุ่นตั้ง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างตัวเป็นตำรวจ-เจ้าหน้าที่ธนาคาร ลวงเหยื่อให้โอนเงินเข้าบัญชีม้า ผู้เสียหายร่วม 2 หมื่นราย มูลค่า 9,500 ล้านบาท ระยะเวลาไม่ถึงปี ได้รับค่าจ้างต่อเดือนร่วม 5 หมื่นบาท เตรียมส่งหลักฐานให้ 2 สถานทูต ขยายผลต่อ
แถลงคดีจับหนุ่มไต้หวัน-ญี่ปุ่น ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยวันนี้ทางด้าน พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 รักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พร้อม รองผบช.สตม. ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณี แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มหนึ่ง ได้เดินทางมายังประเทศไทย ตั้งฐาน Call center อยู่ใน จ.สมุทรสาคร
โดยแก๊งนี้จะมีพฤติการณ์คือ คนไต้หวันเป็นหัวหน้าทีม และคนญี่ปุ่นเป็นพนักงาน โดยคนญี่ปุ่นจะอ้างตัวเป็นตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อหลอกคนญี่ปุ่น โดยมีการอ้างว่าข้อมูลของเหยื่อนั้นรั่วไหล ต้องโอนเงินมาเก็บไว้ที่ธนาคารเพื่อความปลอดภัย สร้างความน่าเชื่อถือให้เหยื่อ
หลังจากนั้นจะให้เหยื่อโอนเงินมายังบัญชีม้า โดยมีคนญี่ปุ่นได้รับความเสียหาย กว่า 17,500 ราย ความเสียหายมูลค่ากว่า 9,500 ล้านบาท ในระยะเวลาไม่ถึงปี
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อเข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว จับกุมผู้ต้องหา 4 ราย
- เป็นคนไต้หวัน 2 ราย ประกอบด้วย นายเฉิน อายุ 50 ปี และ นายเหอ อายุ 40 ปี
- คนญี่ปุ่น 2 ราย ประกอบด้วย นายไดซูเกะ อายุ 49 ปี และนายทาโร่ อายุ 41 ปี
และได้ตรวจยึดโทรศัพท์มือถือจำนวน 11 เครื่อง , คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค จำนวน 2 เครื่อง , บัตรกดเงินสด และบัตรเครดิต 5 ใบ , สคริปต์การสนทนากับเหยื่อ และข้อมูลเหยื่อ อีกหลายชุด
สำหรับหัวหน้าขบวนการเป็นคนไต้หวัน มีนายเหอทำหน้าที่คอยจัดการบัญชีม้า นอกจากนี้นายเหอ ยังเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการไต้หวันจำนวน 2 หมาย ในข้อหานำเข้ายาเสพติดและฉ้อโกง ส่วนนายเฉิน ทำหน้าที่ควบคุมพนักงาน call center ที่หลอกเหยื่อ
พนักงาน call center ขบวนการนี้จะได้รับค่าจ้างเดือนละ 200,000 เยน หรือประมาน 47,000 บาทไทย + ค่าคอม 10% ของเงินที่หลอกได้
ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า จากนี้ทางตำรวจจะส่งพยานหลักฐานทั้งหมดให้สถานทูตญี่ปุ่นและสถานทูตไต้หวัน เพื่อให้ทางการประเทศที่เกี่ยวข้องขยายผลต่อ ซึ่งถ้าหากขยายผลแล้วมีการจับผู้ต้องหาเพิ่ม รวมถึงการยึดทรัพย์ จะมีการข่าวร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นการทำงานร่วมกันผ่านแดน ไม่ให้แก๊งพวกนี้มาตั้งถิ่นฐานในไทยอีก