‘กูรู’เปิด 5 ธีมลงทุนปีนี้ เสริมพอร์ต หนุน‘รีเทิร์น’ชนะตลาด
ปี 2567 “ตลาดลงทุน” ยังขับเคลื่อนด้วย “ความหวัง” น่าจะมีโอกาส “สร้างผลตอบแทน” น่าสนใจอีกปี แต่สภาพตลาดการลงทุนปัจจุบันเริ่มเห็นภาพ “ความเสี่ยง” และ “ความผันผวน” ชัดขึ้น
ทั้งด้าน “ภูมิรัฐศาสตร์” เป็นผลจากการเลือกตั้งในหลายประเทศ ไต้หวัน อินโดนีเซีย อินเดีย และสหรัฐฯ รวมถึงมีโอกาสเกิดภาพความเสี่ยงปรับฐาน หรือเปลี่ยนกลุ่มลงทุนแบบ Mini Rotation ของตราสารหนี้ที่อาจกลับมาโดดเด่น
ดังนั้น “ผู้จัดการกองทุน” ในประเทศเห็นตรงกันว่า ตลาดลงทุนปี 2567 ช่วงครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังเป็นไปได้ที่อาจเป็น “หนังคนละม้วน” โดยกลยุทธ์ลงทุนยังคงมุ่ง “เฟ้นหาธีมลงทุนเด่น” ที่ได้ประโยชน์ สร้างผลตอบแทนชนะตลาดรักษาพอร์ตลงทุนให้อยู่รอดปลอดภัย
“กรุงเทพธุรกิจ” รวบรวมมุมมองผู้จัดการกองทุน "5 ธีมเด่น" น่าลงทุนปี 2567 ดังนั้น 1.ตราสารหนี้ทั่วโลกที่เป็นพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชนระดับ (Investment grade) 2.หุ้นสหรัฐ กลุ่มเทคโนโลยี Generative AI และ Semiconductor มีปัจจัยบวกโดดเด่นเฉพาะตัวโดยหุ้นสหรัฐยังคงมีความน่าสนใจและอาจให้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดอื่นๆ
3.หุ้นเอเชีย อย่าง หุ้นไทย เวียดนาม อินเดีย เกาหลีใต้ เป็นตลาดหุ้นที่มี Valuation ไม่แพง 4.หุ้นทั่วโลก กลุ่ม Sustainable และ ESG ได้ประโยชน์ชัดเจนหลังจากการประชุม COP28 และ 5.กองรีท Global Reits และ US Reits ถือเป็นสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง
'4บลจ.' แนะกลยุทธ์เสริมพอร์ต
“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) มีมุมมองบวกต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง “หุ้น” โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง เช่น กลุ่มเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยีฯ ขณะที่ฝั่ง หุ้นเอเชียแนะนำกระจายลงทุนออกจากจีน เช่น ตลาดหุ้นอินเดีย เวียดนาม และไทย ส่วนฝั่งตราสารหนี้ชื่นชอบกลุ่มตราสารหนี้โลก โดยเฉพาะกลุ่มพันธบัตรรัฐบาล และ Investment grade
“สุรเดช เกียรติธนากร” กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย แนะนำว่า การลงทุนที่มีตราสารหนี้ ยังเป็นสัดส่วนสำคัญตามความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ เพื่อรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยและส่วนต่างราคา และเป็นสินทรัพย์ช่วยกระจายความเสี่ยง ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงตลาดสหรัฐคือ ตลาดคาดหวังเฟดจะลดดอกเบี้ยถึง 6 ครั้ง เริ่มตั้งแต่ประชุมเฟดเดือนมี.ค. ดังนั้น หากเฟดไม่ได้ลดดอกเบี้ยตามคาดทำให้เกิดการปรับฐานได้ ซึ่งมองเป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นสหรัฐ
เน้นการกระจายการลงทุนตามสัดส่วนหุ้นโลก ตราสารหนี้ ทองคำ และREITS พร้อมกับจับจังหวะ และหาผลตอบแทน ในตลาดที่มีกำไรโดดเด่น หรือมีความเป็นวัฐจักร อย่างเช่น อินเดีย เวียดนาม หรือกระจายความเสี่ยง เช่น ธีมมาติก หรือ เฮลท์แคร์
“ปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล” Director ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่า หุ้นเอเชีย โดยเฉพาะหุ้นอินเดียเป็นอีกหนึ่งทางเลือก Trading สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยง-ผันผวนสูง ด้วยการเติบโตเศรษฐกิจอินเดียที่แข็งแกร่ง หนุนโมเมนตัมเชิงบวกดัชนีหุ้นอินเดียที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาถูกส่งต่อมายังช่วงไตรมาส 1 ปี 67
ส่วนหุ้นสหรัฐปี 67 คาดผลตอบแทนอาจไม่โดดเด่น หรือหวือหวาเหมือนปีก่อน เพราะราคาหุ้นปรับตัวขึ้น สะท้อนความคาดหวังสูงของนักลงทุนทำให้มีโอกาสยากที่จะทำได้ดีกว่าคาดการณ์ของตลาด
ดังนั้น เชิงกลยุทธ์หุ้นสหรัฐเน้นไปที่กลุ่มหุ้นคุณภาพ ที่มีผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ และมีอัตรากู้ยืมในระดับต่ำ และอีกกลุ่มหุ้นมูลค่า เช่น หุ้นยั่งยืน หรือหุ้นที่มีการประเมินมูลค่าไม่แพง พิจารณาจากอัตราส่วน เช่น P/E, P/BV เป็นต้น
“ศิระ คล่องวิชา” ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี มองว่า ในปีหน้าค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว อาจมีเงินลงทุนไหลออกไปหาตลาดที่น่าสนใจที่ได้ประโยชน์จากค่าเงิน แนะนำ ลงทุนตลาดเกิดใหม่ (EM) โดยเฉพาะ “หุ้นไทย” ที่มีการฟื้นตัวของตลาดหลังจากปีก่อน underperform ตลาดหุ้นโลกไปค่อนข้างมากแล้ว ดอกเบี้ยสหรัฐเป็นขาลง ซึ่งการลงทุนที่ได้ประโยชน์คือตราสารหนี้ แนะนำ “ตราสารหนี้ต่างประเทศ”