ธปท.ชี้ สัญญาณผิดนัดชำระหุ้นกู้ไฮยีลด์ ยังไม่วิกฤติ ไม่กระทบกองทุน-แบงก์
ธปท.ชี้สัญญาณผิดนัดชำระหุ้นกู้ไฮยีลด์ ผลกระทบอยู่ในวงจำกัด ยันไม่ลามกระทบต่อตลาดกองทุนรวม-สถาบันการเงิน
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า สำหรับภาพตลาดตราสารหนี้ ปี 2565 ยอดคงค้างตราสารหนี้ เพิ่มขึ้น 9% แม้ชะลอตัวลงบ้าง หากเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ยังขยายตัวค่อนข้างสูง หากเทียบกับอดีต
ส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจขนาดใหญ่ ต้องการล็อคต้นทุนทางการเงินในช่วงดอกเบี้ยสูงขึ้น ทั้งนี้ หากมองไปข้างหน้า อาจเห็นการเติบโตในตลาดตราสารหนี้ชะลอตัวลงบ้าง แต่ยังมองว่าตลาดตราสารหนี้ยังทำหน้าที่ได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม หากดูการออกหุ้นกู้ใหม่ หรือโรลโอเวอร์หุ้นกู้เดิม พบว่า สัดส่วนจำนวนบริษัท ที่ขายหุ้นกู้ได้ไม่เต็มจำนวน มีสัดส่วนค่อนข้างน้อย และไม่ได้เพิ่มขึ้นจนผิดปกติ โดยทั้งปีอยู่เพียง 1.1% เท่านั้นหากเทียบกับยอดออกหุ้นกู้ทั้งหมด
ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในหุ้นกู้ไฮยีลด์ และเกินครึ่งหนึ่ง มีประวัติจำหน่ายไม่ครบอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่รายใหม่ ซึ่งอาจมาจากช่วงที่ออกขาย มีข่าวลบกับบริษัท หรือให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตัวอื่นๆ ดังนั้นการขายไม่หมด กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มไฮยีลด์เป็นหลัก ซึ่งปัญหามาจาก ปัจจัยเฉพาะบางบริษัทเท่านั้น
นอกจากนี้ หากมองไปข้างหน้า มีปริมาณหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดที่ 1ล้านล้านบาท ในนี้แบ่งเป็นหุ้นกู้ที่ เป็นไฮยีลด์ราว 1 แสนล้านบาท หรือ 10% ที่จะครบกำหนดในไตรมาสแรกปีนี้
ซึ่งธปท.มองว่า แง่ปัญหาการโรลโอเวอร์ เป็นปัญหาเฉพาะบางบริษัทเท่านั้น ปัญหาที่จะเกิดการลุกลามไปสู่ตลาดหุ้นกู้ ตลาดการเงิน ยังจำกัด อีกทั้ง ขนาดหุ้นกู้ไฮยีลด์ มีขนาดเล็ก ทั้งหมดมีเพียง 7% ของยอดคงค้างของหุ้นกู้เอกชนทั้งหมด ขณะที่กว่า 90% เป็นหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Investment grade ยังไม่มีปัญหา
ส่วนการเชื่อมโยงหรือส่งผ่านผลกระทบไปสู่ตลาดกองทุนรวม เชื่อว่ามีน้อยมาก โดยตลาดกองทุนรวม ถือหุ้นกู้ไฮยีลด์เพียง0.1% หรือ 600 ล้านบาท หากเทียบกับการถือหุ้นกู้เอกชนทั้งหมด ฉะนั้น ความเสี่ยงที่จะเห็น ของการไถ่ถอนมากๆ หรือ กองทุนรวมราคาลงค่อนข้างมากมีโอกาสต่ำมาก เพราะผลกระทบที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อกองทุนรวมมีน้อยมาก
“การขายไม่หมดอยู่ในวงจำกัด และเป็นปัญหาเฉพาะตัว และที่ผ่านมา บริษัทมี่การปรับตัว ทั้งการให้ผลตอบแทนสูงขึ้น วางหลักประกันสูงขึ้น หรือเจรจาผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อเลื่อนชำระการจ่ายหุ้นกู้ ดังนั้นมองว่าโอกาสที่จะลามไปกระทบต่อตลาดกองทุนรวม หรือแบงก์น้อยมาก”
นอกจากนี้ มองว่า ความเสี่ยงดังกล่าว ยังมองว่า ไม่กระทบต่อระบบสถาบันการเงิน เนื่องจาก สถาบันการเงินมีการถือครอง และให้สินเชื่อในกลุ่มไฮยีลด์ต่ำมาก โดยคิดเป็นการให้สินเชื่อเพียง 0.23% เท่านั้น ดังนั้น การระดมทุนไม่ได้หรือ โรลโอเวอร์ไม่ได้ เป็นเพียงปัจจัยที่กระทบต่อเซ็นติเมนต์โดยรวมของนักลงทุนบางกลุ่มเท่านั้น โดยเฉพาะรายย่อย ที่มีการถือครองหุ้นกู้ไฮยีลด์ปัจจุบัน ที่ราว 1 แสนราย
“ความเสี่ยงในตลาดหุ้นกู้เป็นปัญหาเฉพาะจุด โอกาสลุกลาม เป็นวิกฤติในตลาดหุ้นกู้ หรือตลาดการเงินต่ำมาก แต่ปัญหาหลักๆจะเกิดขึ้นกับเซ็นติเมนต์กับนักลงทุนรายย่อย ที่ถือไฮยีลด์”