จับตา! เศรษฐกิจ ‘เยอรมนี’ ส่อ Recession ตาม ญี่ปุ่น-สหราชอาณาจักร
"ธนาคารกลางเยอรมัน" เผย มีโอกาสที่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2567 อาจโตแบบติดลบซึ่งจะทำให้จีดีพีของเยอรมนีติดลบสองไตรมาสติดเข้าสู่เกณฑ์ถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession)
KEY
POINTS
- ธนาคารกลางเยอรมัน เผย มีโอกาสที่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2567 อาจโตแบบติดลบนำไปสู่การถดถอยทางเทคนิค
- ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรเข้าสู่สภาวะถดถอยทางเทคนิคแล้ว
- เยอรมนีเป็นประเทศที่พึ่งพาอุตสาหกรรมหนักแบบดังเดิมจำนวนมากทำให้จีดีพีเติบโตแบบไม่ไปไหน
ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกอย่างญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) หลังจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หดตัวสองไตรมาสติดต่อกัน
จีดีพีในไตรมาสที่สามและสี่ของญี่ปุ่นปีที่แล้วติดลบ 3.3% และ 0.4% ตามลำดับจากการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาครัฐลดน้อยลง ขณะที่จีดีพีของสหราชอาณาจักรหดตัว 0.1% ในไตรมาสที่สามและ 0.3% ในไตรมาสที่สี่ของปีเดียวกัน เนื่องจากตัวเลขจากภาคการส่งออกบริการและการบริโภคภาคครัวเรือนที่ลดน้อยลง
โดยการปรับตัวเข้าสู่สภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นทำให้เสียตำแหน่งมหาอำนาจเชิงเศรษฐกิจอันดับสามของโลก (เป็นรองจากสหรัฐและจีน) ให้ประเทศเยอรมนี
มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 5 อันดับแรก
- สหรัฐอเมริกา
- จีน
- เยอรมนี
- ญี่ปุ่น
- อินเดีย
ทว่าล่าสุด (20 ก.พ.) ธนาคารกลางเยอรมัน (Deutsche Bundesbank) เผยว่า เศรษฐกิจเยอรมนี ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปมีแนวโน้มเข้าสู่สภาวะถดถอยเช่นเดียวกันในไตรมาสที่ 1 / 2567 เนื่องจากอุปสงค์ภายนอกอ่อนแอจากผู้บริโภคยังคงระมัดระวังและการลงทุนภายในประเทศถูกระงับด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่สูง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเยอรมนีประสบปัญหาอย่างมากนับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนในปี 2565 ทําให้ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น รวมทั้งขณะนี้เศรษฐกิจของเยอรมนีซึ่งพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเป็นหลักไม่มีการเติบโตหรือเติบโตแบบติดลบมาสี่ไตรมาสแล้ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งยูโรโซน
รายงานจากธนาคารกลาง เผยว่า "เศรษฐกิจเยอรมนียังไม่ฟื้นตัว" พร้อมเสริมว่า
"ไตรมาสแรกของปี 2567 ผลผลิตทางเศรษฐกิจอาจลดลงเล็กน้อยอีกครั้ง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าจีดีพีจะลดลงติดต่อกันสองไตรมาสและเข้าสู่สภาวะถดถอยทางเทคนิค”
ผลการดําเนินงานทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอนี้ทําให้เกิดคําถามเกี่ยวกับความยั่งยืนของรูปแบบเศรษฐกิจของเยอรมัน และนักวิชาการส่วนหนึ่งโต้แย้งว่าอุตสาหกรรมหนักที่พึ่งพาพลังงานส่วนใหญ่กําลังถูกกําหนดราคาจากตลาดต่างประเทศ ซึ่งอาจจำเป็นต้องหาเครื่องจักรทางเศรษฐกิจใหม่หรือไม่ ท่ามกลางอุปสงค์ภาคอุตสาหกรรมต่างประเทศที่และคําสั่งซื้อมีแนวโน้มลดลง
ด้านบทวิเคราะห์ของรอยเตอร์ส เผยว่า สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ธนาคารกลางยุโรปผลักดันอัตราดอกเบี้ยให้สูงเป็นประวัติการณ์เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ อัตราการขยายตัวของค่าแรงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยยังนำไปสู่การนัดหยุดงานในภาคส่วนสําคัญ เช่น การขนส่ง ทั้งหมดอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตในไตรมาสนี้เช่นกัน
อ้างอิง