แบงก์ชาติ เปิดยอดลูกหนี้ส่อเป็น ‘หนี้เรื้อรัง‘ 1.8 ล้านบัญชี 7.4 หมื่นล้านบาท
ธปท. เปิดยอดลูกหนี้ “เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรัง” และ “เป็นหนี้เรื้อรัง” รวมกว่า 1.8 ล้านบัญชี วงเงินรวม 7.4 หมื่นล้านบาท ลูกหนี้ที่กำลังเป็นหนี้เรื้อรัง 1.33 ล้านบัญชี และหนี้เรื้อรังแล้ว 4.8 แสนบัญชี ชี้หากยอดเข้าร่วมโครงการต่ำ เตรียมคุย “ลูกหนี้ - แบงก์” เพื่อปรับมาตรการ
มาตรการ “แก้หนี้เรื้อรัง” เริ่มมีผลบังคับใช้ นับตั้งแต่ 1 เม.ย. เป็นต้นมา ตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต้องการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเรื้อรัง ผ่านการให้สถาบันการเงินลดดอกเบี้ยเพื่อลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้เร็วขึ้น
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการเซอร์เวย์การแก้หนี้เรื้อรังของ ธปท. ที่มีผลบังคับใช้แล้วนับแต่ 1 เม.ย.2567 เป็นต้นมา จากผู้ให้บริการทั้ง 37 ราย ทั้งธนาคารพาณิชย์ (แบงก์) และผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) เบื้องต้นพบว่า มีลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt : PD) ทั้งกลุ่มที่มีปัญหา และที่เป็นหนี้เรื้อรังแล้ว
โดยแบ่งเป็นลูกหนี้ที่กำลังมีปัญหาหนี้เรื้อรัง (General PD) กลุ่มนี้มีจำนวน 1.33 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดภาระหนี้ถึง 60,882 ล้านบาท
และกลุ่มที่เป็นลูกหนี้เรื้อรังแล้ว (Severe PD) แล้ว ที่ 4.8 แสนบัญชี คิดเป็นยอดภาระหนี้ที่ 14,433 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการติดตามความคืบหน้าของมาตรการพบว่า ผู้ประกอบการบางราย มีการให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนกับลูกหนี้ ในการเชิญชวนเข้ามาตรการแก้หนี้เรื้อรัง โดยเฉพาะไม่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับดอกเบี้ยที่ 15% เมื่อลูกหนี้เข้าโครงการแล้ว ดังนั้นส่วนนี้ ธปท.มีการให้ผู้ให้บริการแจ้งเตือนกลับไปที่ลูกหนี้ใหม่เพื่อให้มีการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ประกาศเริ่มมาตรการพบว่า ขณะนี้ มีลูกหนี้เริ่มทยอยสมัครเข้าโครงการ แต่ยอดสมัครเข้าโครงการยังไม่มากนัก ดังนั้น ธปท.จะมีการติดตาม และดูผลกระทบของมาตรการหลังจากนี้ จนถึงเดือนก.ค. ปี 2567
หากพบว่ามีลูกหนี้เข้าโครงการน้อย ธปท.จะมีการหารือกลุ่มสุ่มคุยกับลูกหนี้เพิ่มเติม ถึงสาเหตุในการเข้าไม่เข้าร่วมโครงการ และจะมีการหารือกับลูกหนี้เพิ่มเติม ว่าจะมีการปรับมาตรการหรือไม่
โดย ธปท. มองว่าโครงการนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น และลดภาระดอกเบี้ยให้ลดลงมาก โดยเฉพาะยอดผ่อนชำระต่อเดือน
ตัวอย่างของการเข้าโครงการแก้หนี้เรื้อรัง หากเป็นบัตรกดเงินสด โดยมีวงเงินต้นอยู่ที่ 15,000 บาท หากผ่อนชำระขั้นต่ำที่ 3% มาแล้ว 5 ปี จะต้องจ่ายเงินต้นอีก 8,700 บาท ซึ่งหากลูกหนี้เลือกที่จะชำระขั้นต่ำต่อไปจนครบ บนดอกเบี้ยที่ 25% ลูกหนี้จะใช้เวลาผ่อนอีก 13 ปี 5 เดือน โดยต้องจ่ายดอกเบี้ยอีก 14,000 บาท ซึ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยรวมทั้งสัญญาอยู่ที่ 29,000 บาท
ทั้งนี้ หากเข้าโครงการแก้หนี้เรื้อรัง หากลูกหนี้จ่ายมาแล้ว 5 ปี เหลือเงินต้นอีก 8,700 บาท ลูกหนี้จะผ่อนต่อไปอีกเพียง 3 ปี 6 เดือน บนดอกเบี้ยที่ 15% ต่อปี หรือวงเงินผ่อนที่ 260 บาทต่องวด ทำให้เหลือดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพียง 2,500 บาท ดังนั้นเมื่อรวมดอกเบี้ยแล้วลูกหนี้จะจ่ายดอกเบี้ยทั้งสัญญาเพียง 17,500 บาท ดอกเบี้ยลดลง 11,500 บาท หากเทียบกับการผ่อนขั้นต่ำจนครบสัญญา
“หลังจากนี้เราจะมีการมอนิเตอร์การเข้าโครงการใกล้ชิด หากพบว่าเข้าโครงการน้อย เราจะสุ่มคุยกับลูกหนี้ ที่เป็นเรื้อรังแล้ว ว่าเหตุผลใดถึงไม่เข้า ซึ่งเรามีเวลาดูข้อมูลหลังจากนี้จนถึงไตรมาส 2 และต่อเนื่องไปถึงก.ค. ซึ่งหากเข้าไม่ได้มาก เราอาจจะมีการหารือกับเจ้าหนี้ เพื่อทบทวน และพิจารณาปรับมาตรการต่อไป”
อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกหนี้เรื้อรัง คือ กลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ประเภทวงเงินหมุนเวียน ที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย โดยหากดูคำนิยามของลูกหนี้ที่จะสามารถเข้าร่วมโครงการได้ กลุ่มแรก ลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหาหนี้เรื้อรัง (General PD) คือ ลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยรวมมากกว่าเงินต้นรวม มาแล้ว 3 ปี แต่ไม่ถึง 5 ปี
ดังนั้น ลูกหนี้ที่เป็นหนี้เรื้อรัง (Severe PD) ลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยรวมมากกว่าเงินต้นรวม มาแล้ว 5 ปี ทั้งนี้ ธปท.กำหนดรายได้ลูกหนี้สำหรับธนาคารพาณิชย์ จะมีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 20,000 บาท และนอนแบงก์น้อยกว่า 10,000 บาท โดยลูกหนี้จะได้รับความช่วยเหลือให้ปิดจบหนี้ภายใน 5 ปี และลดภาระดอกเบี้ยเหลือ 15%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์