‘กองทุนบิตคอยน์ อีทีเอฟ’ เพิ่ม‘ทางเลือก’ลงทุนแห่งอนาคต
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) สหรัฐอนุมัติจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF อย่างเป็นทางการถึง “11 กองทุน” ให้สามารถจัดตั้งและเริ่มซื้อขายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ตามมาด้วย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้มีมติเห็นชอบปรับหลักเกณฑ์ใหม่โดยอนุญาตให้ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth ) สามารถเข้าลงทุนกองทุน Spot Bitcoin ETF ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ได้ เพิ่มเติม
จากเดิม ที่เปิดทางให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) สามารถให้บริการหรือพาผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) และผู้ลงทุนสถาบัน (Institutional Investor) ไปลงทุน Bitcoin ETF ได้โดยตรง
โดย ก.ล.ต. ประเมินแล้วว่าผู้ลงทุนที่มีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้สูง ซึ่งถือเป็นการเปิดเกณฑ์ให้สอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ให้ผู้ลงทุนกลุ่มนี้ไปลงทุนได้แบบไม่มีข้อจำกัด
ล่าสุด ขณะนี้มี บลจ. ราว 1-2 ราย สนใจและได้ยื่นขอ ก.ล.ต. จัดตั้ง กองทุน Spot Bitcoin ETF ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) ทั้งการลงทุนในรูปแบบ Feeder Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเน้นลงทุนในกองทุนอื่นเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) เพียงกองทุนเดียว หรือรูปแบบ Fund of Funds ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในกองทุนอื่นมากกว่า 1 กองทุน ความเสี่ยงกองทุนระดับ 8+ และเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความซับซ้อนสูง คาดว่าเร็วๆ นี้ มีโอกาสได้เห็นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของก.ล.ต.
ทั้งนี้ “บลจ.เอ็มเอฟซี” เป็นหนึ่งในบลจ.ที่ได้ยื่นขอจัดตั้ง กองทุน Spot Bitcoin ETF สำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) เท่านั้น มีนโยบายการลงทุนใน Spot Bitcoin ETF100% มูลค่ากองทุนราว 1,000-2,000 ล้านบาท วงเงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท
“เชาวน์กร โชติบัณฑ์” Head of Investment strategy บลจ. เอ็มเอฟซี กล่าวว่า แนวทางการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว มองว่า ปัจจุบันการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างบิตคอนย์โดยเฉพาะ Spot Bitcoin ETF ที่หน่วยงานกำกับในประเทศต่างๆ สามารถควบคุมได้จากเดิมที่เคยกังวลเมื่อ 7-8 ปีก่อน และนักลงทุนทั่วโลกให้การยอมรับมากขึ้น
จากช่วงปีก่อน “บิทคอยน์” เคยถูกมองว่าจะตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ถือเป็นช่วงเริ่มต้นภายใต้การเปลี่ยนผ่านของตลาดการลงทุนยุคเดิม ไปสู่ “ยุคเอไอและยุคดิจิทัล” ทำให้การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นสินทรัพย์การลงทุนที่มีโอกาสเกิดขึ้นระยะ 10-20 ปีข้างหน้า
ดังนั้น การลงทุนทางเลือก อย่าง กองทุน Spot Bitcoin ETF จึงเป็นโอกาสในการลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต ภายใต้การประเมินมูลค่ามูลค่าบิตคอยน์ พบว่า แนวโน้มราคาบิตคอยน์ มีโอกาสที่ราคาบิตคอยน์ยังปรับตัวสูงขึ้นในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า จากระดับราคาบิตคอยน์ปัจจุบันเฉลี่ย 70,000 ดอลลาร์
จากปัจจัยสนับสนุน หลัง ก.ล.ต. สหรัฐฯ อนุมัติจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF อย่างเป็นทางการ เป็นทางเลือกของนักลงทุนบิตคอยน์ โดยผ่านกองทุนบิทคอยน์ปลายทางที่มีความมั่นคงสูงในการเก็บรักษาอย่างปลอดภัย และการลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่นการลงทุนที่สะดวกสบายและรวดเร็วไม่เสียโอกาสในการลงทุน
ประกอบกับด้วยธรรมชาติของบิตคอยน์ถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายเงิน แต่ปริมาณบิตคอยน์ที่ถูกปล่อยออกมาน้อย เพิ่มขึ้นปีละไม่ถึง 1% ทำให้ราคาบิทคอยน์มีโอกาสปรับขึ้น และความเสี่ยงการลงทุนใกล้เคียงทองคำ หากในอนาคต 20-30 ปีข้างหน้า ตลาดยังคาดการณ์ว่าสามารถนำมาทดแทนทองคำได้เช่นกัน มองเป็นโอกาสการลงทุน
และด้วยเทรนด์การโอนย้ายความมั่งคั่งระหว่างเจนเนอร์เรชั่น ในอนาคต 10-20 ปีข้างหน้า จากเงินลงทุนของนักลงทุนกลุ่มเวลธ์ในเจนเนอร์เรชั่น เบบี้บูมเมอร์ ถูกสะสม ไว้ในปัจจุบัน จะกลายเป็นมรดกส่งต่อมาสู่กลุ่มเจนเนอร์ชั่น คนรุ่นใหม่ ที่มีความสนใจและเชื่อการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมากกว่า ทำให้สัดส่วนเงินลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะเติบโตมากขึ้น
นอกจากนี้ การลงทุนผ่านกองทุน Spot Bitcoin ETF ยังมีแรงจูงใจทางภาษี ให้กับนักลงทุน ไม่ถูกคำนวณภาษีเงินได้บุคคล 30% เหมือนกับลงทุนโดยตรงด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อการลงทุน บิตคอนย์ “คงไม่ตาย” อีกต่อไปแล้ว แต่ระยะทางหว่างไปสู่การลงทุนยุคดิจิทัล 10-20 ปีข้างหน้านั้น มองว่า ทางข้างหน้าบิตคอย์จะเติบโตอย่างราบรื่นหรือมีอุปสรรค นักลงทุนยังต้องระมัดระวัง “ผันผวนต่างๆ เกิดขึ้นได้”
ทั้งจากกฎเกณฑ์ทางการหากมีการควบคุมหรือห้าม และราคาที่ปรับตัวสูง มีโอกาสฟองสบู่บิตคอนย์ที่ทำให้ราคาปรับตัวลงแรง หรือปรับฐานลงมาได้ต่อเนื่องเช่นกัน
ดังนั้น แม้ขณะนี้ “นักลงทุนรายใหญ่พิเศษ” จะมีความสนใจการลงทุน Spot Bitcoin ETF แต่เรายังแนะนำ การลงทุนผ่านกองทุน Spot Bitcoin ETF แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1.นักลงทุนรายใหญ่พิเศษที่รับความเสี่ยงขาลงมากกว่า 80% ไม่ได้ จะมีทีมผู้จัดการกองทุนเข้าไปให้คำแนะนำการลงทุนเป็นรอบๆ
2. นักลงทุนรายใหญ่พิเศษ ที่รับความขาลงมากกว่า 80% ได้ แนะนำลงทุนักระยะยาวโดยแบ่งเงินลงทุนเพียงส่วนหนึ่งที่สามารถรับความเสี่ยงสูงที่ราคาปรับตัวลงแรงและมีระยะเวลาถือรอราคาปรับขึ้นมาได้
เช่น เงินลงทุนรวม 100 ล้านบาท แบ่งมาลงทุนในกองทุนนี้ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นการทดลอง หากเป็นนักลงทุนรายใหญ่พิเศษ กลุ่มเบบี้บูมแนะลงทุนสัดส่วนไม่เกิน 1-3% ของพอร์ตลงทุนรวม แต่หากเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ แนะลงทุนสัดส่วนไม่เกิน 3-5% ของพอร์ตลงทุนรวม