สมาคมประกันชีวิตฯ เผยเบี้ยรวมQ1/67 โต4.7% ประกันสุขภาพ-โรคร้าย ยังมาแรง
สมาคมประกันชีวิตไทย เผยไตรมาส 1 ปี 67 เบี้ยรับรวมแตะ 163,959 ล้านบาท โต 4.72%ทั้งเบี้ยใหม่และต่ออายุ และมีอัตราความคงอยู่83% พบประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงฮอตสุด คนไทยนิยมรักษาสุขภาพ-บริหารค่ารักษาพยาบาลพุ่ง พร้อมสะสมเงินออมรับวัยเกษียณ- ลดหย่อนภาษี ผ่านประกันบำนาญ
นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทยเปิดเผยว่า ไตรมาสแรก ปี 2567 (มกราคม - มีนาคม) ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ 163,959 ล้านบาท เติบโต 4.72 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน
แบ่งเป็น เบี้ยประกันชีวิตรายใหม่ (New Business Premium) 45,890 ล้านบาท เติบโต 2.07% และเบี้ยประกันชีวิตปีต่อไป (RenewalYearPremium) 118,068 ล้านบาท เติบโต 5.79 % และมีอัตราความคงอยู่83%
สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย
1.) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium) จำนวน 29,841 ล้านบาท ลดลง 3.59%
2.) เบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) จำนวน 16,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.56%
สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) ในช่วงไตรมาสแรก ปี 2567 แยกตามช่องทางการจำหน่าย ดังนี้
อันดับ 1การขายผ่านตัวแทนประกันชีวิต จำนวน 78,013ล้านบาท เติบโต 2.20 % มีสัดส่วน 47.58%
อันดับ 2 การขายผ่านธนาคาร จำนวน 66,044 ล้านบาท เติบโต 5.49% มีสัดส่วน 40.28%
อันดับ 3การขายผ่านช่องทางนายหน้าจำนวน 11,228 ล้านบาท เติบโต 16.90% มีสัดส่วน 6.85%
อันดับ 4 การขายผ่านช่องทางโทรศัพท์3,090 ล้านบาท เติบโต 11.62% มีสัดส่วน 1.88%
อันดับ 5 การขายผ่านช่องทางดิจิทัล 313 ล้านบาท เติบโต 24.91% มีสัดส่วน 0.19%
อันดับ 6 การขายผ่านช่องทางไปรษณีย์ 4 ล้านบาท เติบโต 39.78% มีสัดส่วน 0.002%
ส่วนการขายผ่านช่องทางอื่นๆ (Others) เช่น การขาย Worksite การขายผ่านการออกบูธ Walk-in และ การขายผ่านร้านค้าสะดวกซื้อ เป็นต้น มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 5,266 ล้านบาท เติบโต 23.30% มีสัดส่วน 3.21%
สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมและมีอัตราการเติบโตในไตรมาสแรก ปี 2567 คือ สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและคุ้มครองโรคร้ายแรง (Health และ CI) ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 32,776 ล้านบาท เติบโต 12.48 % คิดเป็นสัดส่วน 19.99% มาจากการที่ประชาชนใส่ใจดูแลสุขภาพและเริ่มตระหนักถึงความสำคัญในการทำประกันคุ้มครองสุขภาพและประกันคุ้มครองโรคร้ายแรงมากขึ้น
เพื่อบริหารความเสี่ยงและรับมือกับค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น (Medical Inflation) ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งมาจากการที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว(Aged Society)
รวมถึงเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินช่วงวัยเกษียณมากขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักที่จะต้องมีเงินออมที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายช่วงวัยเกษียณ พร้อมทั้งได้รับความคุ้มครองชีวิต และ สิทธิการลดหย่อนภาษีอีกด้วย จึงส่งผลให้ เบี้ยประกันภัยรับรวม ของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) อยู่ที่ 2,604 ล้านบาท เติบโต 14.80 % สัดส่วน 1.59%
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit – Linked และ Universal life) ก็ได้รับความสนใจเช่นเดียวกัน โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 8,979 ล้านบาท เติบโต 1.98% มีสัดส่วน 5.48%
ส่วนหนึ่งมาจากการที่ประชาชนเริ่มเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งเรื่องการลงทุนและความคุ้มครอง ที่มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการปรับลดเงินลงทุนหรือทุนประกันภัย ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมายทั้งด้านการเงินและการบริหารความเสี่ยงในเวลาเดียวกัน