ค่าเงินบาทวันนี้ 6 มิ.ย. 67 ‘แข็งค่า‘ หลังจ้างงานสหรัฐอ่อนแอ-ดอลลาร์อ่อนค่า

ค่าเงินบาทวันนี้ 6 มิ.ย. 67 ‘แข็งค่า‘  หลังจ้างงานสหรัฐอ่อนแอ-ดอลลาร์อ่อนค่า

ค่าเงินบาทวันนี้ 6 มิ.ย.67 เปิดตลาด “อ่อนค่า“ ที่ 36.57 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย” จากการจ้างงานสหรัฐยังหดตัวหนุนเฟดอาจลดดอกเบี้ย2ครั้งในปีนี้ ดอลลาร์อ่อนค่า แต่ระวังความผันผวนจากข่าวการเมืองในประเทศกดดัน มองกรอบเงินบาทวันนี้ 36.45- 36.75 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้" ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.57 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  36.69 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.45-36.75 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 36.56-36.73 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องราว +20 ดอลลาร์ จากรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP สหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ที่ลดลงต่อเนื่องและออกมาแย่กว่าคาด 

ประกอบกับ ดัชนีย่อยการจ้างงาน (Employment) ในภาคการบริการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ เดือนพฤษภาคม ก็ยังอยู่ในระดับ 47.1 จุด สะท้อนถึงภาวะการจ้างงานที่หดตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสถึง 94% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ (จาก CME FedWatch Tool) อย่างไรก็ดี เงินบาทก็ไม่ได้แข็งค่าลงมาก เนื่องจากเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ที่พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.8 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควร 

แนวโน้มค่าเงินบาท

แนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอยู่แถวโซนเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB โดยเราประเมินว่า ภาพตลาดการเงินที่เปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น อาจช่วยชะลอแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติได้บ้าง ทำให้แรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอาจลดลงบ้าง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าไปได้มากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในช่วงโซน 36.40-36.50 บาทต่อดอลลาร์

 อีกทั้งต้องระวังความผันผวนจากข่าวการเมืองในประเทศ (ซึ่งรวมถึงข่าวที่สะท้อนถึงความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการดำเนินนโยบายการเงิน) ดังจะเห็นได้จากวันก่อนหน้าที่เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว จากข่าวที่ระบุว่ารัฐบาลอาจต้องการควบคุมการทำงานของธปท. มากขึ้น ทั้งนี้ เรามองว่า ประเด็นดังกล่าวรวมถึงความวุ่นวายของการเมืองไทยจะเป็นเพียงแค่ Noise ในระยะสั้น ที่อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ แต่เราจะคอยจับตาความเสี่ยงการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง 

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB โดยปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน คือ มุมมองของ ECB ต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบาย ว่า ECB จะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องได้หรือไม่ ซึ่งหาก ECB ส่งสัญญาณชัดเจน ว่ามีโอกาสจะลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง หรือมากกว่า ก็อาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) ผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง ในทางกลับกัน หาก ECB ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะทยอยลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง และการลดดอกเบี้ยจะขึ้นกับการประเมินภาพเศรษฐกิจในช่วงการประชุมนั้นๆ เราคาดว่า เงินยูโร (EUR) ก็อาจแกว่งตัว sideways หรือแข็งค่าขึ้นบ้าง เพราะอย่างน้อย การลดดอกเบี้ยของ ECB ที่อาจเกิดขึ้นในการประชุมครั้งนี้ ก็เป็นสิ่งที่ผู้เล่นในตลาดได้รับรู้ไปแล้ว (fully priced-in) ทำให้ประเด็นสำคัญ คือ แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายหลังจากการประชุมในครั้งนี้ 

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและกลับมาเชื่อว่าเฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวขึ้น นำโดย Nvidia +5.2%, Meta +3.8% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.96% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.18%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.81% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นในธีม Semiconductor/AI อย่าง ASML +8.1% หลังผู้บริหารออกมาระบุว่ายอดสั่งซื้อจากคู่ค้ามีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสถัดๆ ไป ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ทำให้โดยรวมผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก

ในส่วนตลาดบอนด์ ความหวังของบรรดาผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า เฟดมีโอกาสจะลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งในปีนี้ ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยย่อตัวลงสู่ระดับ 4.28%  อย่างไรก็ดี เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูงขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดการจ้างงานที่จะรายงานในวันศุกร์นี้ ออกมาดีกว่าคาด แต่ทุกจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวที่น่าสนใจ

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ผันผวนในกรอบ sideways โดยมีจังหวะที่อ่อนค่าลงบ้าง ตามรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ก่อนที่จะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการที่ออกมาดีกว่าคาด ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากบรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ลดความน่าสนใจในการถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวแถวระดับ 104.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.1-104.5 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเชื่อว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) สามารถรีบาวด์ขึ้นสู่โซน 2,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง อนึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในช่วงเวลาประมาณ 19.15 น. ตามเวลาประเทศไทย รวมถึงถ้อยแถลงของประธาน ECB ในช่วง Press Conference หลังรับรู้ผลการประชุม ECB โดยผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ลง -25bps สู่ระดับ 3.75% และอาจมีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้ (ตลาดคาดว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้งในปีนี้ ซึ่งอาจจะเป็นการลดดอกเบี้ยในการประชุมรายไตรมาส) และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดผู้ขอรับสวัสดการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึง คาดการณ์ GDP ในไตรมาสที่สอง โดย Atlanta Fed (GDPNow)