นักลงทุนหันซบ'หยวนแครี่เทรด' หลังจีนเดินหน้านโยบายการเงินผ่อนคลาย
'เงินเยน'ผันผวนหนัก นักลงทุนหันซบ'หยวนแครี่เทรด' หลังจีนเดินหน้านโยบายการเงินผ่อนคลาย แต่ PBOC คุมการซื้อขายเงินหยวนเข้มงวด ป้องกันต่างชาติเก็งกำไร
KEY
POINTS
- BOJ ขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 15 ปี ทำให้นักเทรดพากันปิดสถานะ Carry Trade เพื่อจ่ายหนี้เงินกู้จากญี่ปุ่น จนทำให้เกิดแรงเทขายหุ้นทั่วโลก
- RBC มองจีนใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย เพิ่มความน่าสนใจ "หยวนแครี่เทรด"
- ความต่างระหว่าง เยน และ หยวน ‘แครี่เทรด’ อยู่ที่ระดับความสามารถในการแปลงสกุลเงินและเป้าหมายการลงทุนที่ไม่เหมือนกัน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กลยุทธ์“หยวนแครี่เทรด” กำลังกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของ “ค่าเงินเยน” โดยอาจให้ผลตอบแทนที่มีเสถียรภาพมากกว่าในสภาวะตลาดปัจจุบัน
แครี่เทรด (Carry Trade) คือกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนจะกู้เงินในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ (เช่น เงินเยน หรือเงินหยวน) เพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงในสกุลเงินอื่น (เช่น หุ้น, ตราสารหนี้) โดยหวังผลกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารกลางจีน (PBOC)ยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไป โดยธนาคารแห่งชาติแคนาดา (RBC) มองว่า นโยบายนี้จะทำให้การลงทุนที่เรียกว่า "Carry Trade" ในเงินหยวนมีความน่าสนใจมากขึ้น
อัลวิน ที. แทน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สกุลเงินเอเชียของ RBC มองว่าการขายเงินหยวนเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ในตลาดเกิดใหม่ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เนื่องจาก PBOC กำลังพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ค่าเงินหยวนกลับแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกัน ดังนั้นเศรษฐกิจของจีนยังคงเผชิญกับความท้าทาย และคาดว่าPBOC จะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
จากข้อมูลของบลูมเบิร์กพบว่า การลงทุนแบบ Carry Trade โดยใช้เงินหยวนเป็นฐานในการกู้ยืม และนำไปลงทุนในกลุ่มสกุลเงินของตลาดเกิดใหม่ 8 สกุลนั้น ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจถึง 0.5% ในไตรมาสนี้ ทั้งๆ ที่กลยุทธ์การลงทุนแบบเดียวกันแต่ใช้เงินเยนเป็นฐานกลับให้ผลตอบแทนติดลบถึง 7%
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการลงทุนแบบ Carry Trade เนื่องจากค่าเงินเยนพุ่งสูงขึ้นถึง 6.8% ภายในหนึ่งสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนหันมาถือครองเงินเยนมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบไปยังเงินหยวนในช่วงแรก โดยค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น 1.7%
ความแตกต่างระหว่าง 'เยน' และ ‘หยวน’
การซื้อขาย Carry Trade ทั้งของเงินหยวนและเงินเยนต่างมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ทั้งสองแตกต่างกันคือ ระดับความสามารถในการแปลงสกุลเงิน ซึ่งมีผลต่อขนาดและลักษณะของการซื้อขาย
- เสรีภาพในการแปลงสกุลเงิน
เงินเยนสามารถแปลงสกุลเงินได้อย่างเสรี นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดเงินเยนได้ง่าย ทำให้มีสภาพคล่องสูงและมีปริมาณการซื้อขายขนาดใหญ่ แต่รัฐบาลจีนมีการควบคุมการไหลเข้าและไหลออกของเงินทุนอย่างเข้มงวด ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้าถึงตลาดเงินหยวนได้ยากกว่าเงินเยน
- เป้าหมายการลงทุน
ในขณะที่การเทรดแลกเปลี่ยนเงินเยนมักลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศหลากหลายประเภท แต่สัดส่วนส่วนใหญ่ของการเทรดแลกเปลี่ยนเงินหยวนที่กู้ยืมมานั้น ถูกถือเป็นดอลลาร์โดยผู้ส่งออกและบริษัทข้ามชาติของจีน ซึ่งการลงทุนเหล่านี้เริ่มทำกำไรได้ในปี 2565 หลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมในสหรัฐสูงกว่าในจีน
ตามข้อมูลจาก Macquarie พบว่าผู้ส่งออกและบริษัทข้ามชาติของจีนได้สะสมสินทรัพย์ดอลลาร์สหรัฐมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2565
ทำไมนักลงทุนหันมาสนใจ ‘หยวนแครี่เทรด’ ?
วี คูน ชอง นักกลยุทธ์ตลาดเอเชียแปซิฟิกอาวุโสของ BNY ในฮ่องกง ได้ให้เหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเริ่มหันมาสนใจการซื้อขาย Carry Trade ของเงินหยวนมากขึ้น นั่นคือ สภาพคล่องของเงินหยวนในตลาดต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เมื่อมีเงินหยวนหมุนเวียนในตลาดต่างประเทศมากขึ้น ก็จะทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงเงินหยวนได้ง่ายขึ้น และสามารถทำการซื้อขายได้สะดวกมากขึ้น นำไปสู่โอกาสในการทำกำไรจากการซื้อขาย Carry Trade ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากนักลงทุนสามารถเข้าและออกจากตลาดได้อย่างรวดเร็ว”
แม้ว่าการซื้อขาย Carry Trade ด้วยเงินหยวนจะมีความน่าสนใจ แต่ขนาดของการซื้อขายก็อาจจะไม่ใหญ่โตมากนัก เนื่องจาก PBOC มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในตลาดเงินหยวนมากเกินไป
สถาบันการเงินหลายแห่ง เช่น Citigroup Inc. ยังคงมองว่าการกู้เงินหยวนเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ (เช่น การซื้อคืน) เป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ เช่น เยน
อ้างอิง bloomberg