ค่าเงินบาทวันนี้ 7 ต.ค.67 ‘อ่อนค่า‘ ดอลลาร์แข็งค่า หลังจ้างงานสหรัฐออกมาดี
ค่าเงินบาทวันนี้ 7 ต.ค.67 เปิดตลาด “อ่อนค่า“ ที่ 33.33 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย” ชี้ตามดอลลาร์แข็งค่า หลังจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐออกมาดี และแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติอาจยังคงกดดันเงินบาทอยู่มองกรอบเงินบาทวันนี้ 33.25-33.45 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทวันนี้ 7 ต.ค.67 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.33 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.04 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.85-33.65 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.25-33.45 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องและมีจังหวะอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว จนเข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 33.02-33.46 บาทต่อดอลลาร์) หลังทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวขึ้น จากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่เพิ่มขึ้นกว่า 2.54 แสนตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานก็ลดลงสู่ระดับ 4.1% ขณะที่อัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ก็เร่งขึ้น +4.0%y/y ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่าง “เลิกคาดหวัง” การเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้และต้นปีหน้า พร้อมมองเฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยใกล้เคียงกับ Dot Plot ล่าสุด
อย่างไรก็ดี เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนทะลุโซนแนวต้านสำคัญ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยขายทำกำไรการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจค่อยเป็นค่อยไป หลังโมเมนตัมการแข็งค่าของเงินดอลลาร์เริ่มชะลอลง แต่แรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจยังคงกดดันเงินบาทอยู่ อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจยังได้แรงหนุน ตราบใดที่ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นได้ ซึ่งต้องติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางและการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินดอลลาร์อาจชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดได้เลิกคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่าเงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนในช่วงตลาดกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แต่หากอัตราเงินเฟ้อชะลอลงกว่าคาด ก็อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นตามการปรับลดความคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด
สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก (เฟดและECB) พร้อมระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของไทยและสหรัฐฯ
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนกันยายน รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนตุลาคม ซึ่งจะมีการรายงานคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะยาวด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) เพื่อประเมินแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้เลิกคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด และเริ่มกลับมามีมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดใกล้เคียงกับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot ล่าสุดของเฟดมากขึ้น
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) เดือนตุลาคม รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และรายงานการประชุม ECB ล่าสุด
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราการเติบโตค่าจ้างของญี่ปุ่น เพื่อประเมินโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ในส่วนของนโยบายการเงินนั้น ตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจลดดอกเบี้ย -50bps สู่ระดับ 4.75% หลังเศรษฐกิจชะลอตัวลงมากขึ้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ทยอยเข้าสู่เป้าหมายของ RBNZ ส่วนธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ก็อาจลดดอกเบี้ย -25bps สู่ระดับ 3.25% หลัง BOK ลดความกังวลต่อปัญหาราคาอสังหาฯ และแนวโน้มเงินเฟ้อ ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจเกาหลีใต้ก็มีแนวโน้มชะลอลง โดยเฉพาะในส่วนของการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุน อนึ่ง ตลาดมองว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 6.50% ทว่า RBI ก็อาจเริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ หลังเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงมากขึ้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ชะลอลงต่อเนื่องจนล่าสุดอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายของ RBI
▪ ฝั่งไทย – ควรรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนกันยายน ส่วนอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายนนั้น เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อมีโอกาสเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้าสู่ระดับ 0.62% (-0.09%m/m) ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจยังคงอยู่แถวระดับ 0.7% และโดยรวมอัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1%-3% ของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ในช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ทั้งนี้ ควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ทยอยขายสินทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแรงขายสินทรัพย์ไทยดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง