ค่าเงินบาทวันนี้ 29 ต.ค.67 ‘แข็งค่า‘ หลังราคาทองคำรับแรงหนุนความไม่แน่นอน

ค่าเงินบาทวันนี้ 29 ต.ค.67 ‘แข็งค่า‘ หลังราคาทองคำรับแรงหนุนความไม่แน่นอน

ค่าเงินบาทวันนี้ 29 ต.ค.67 เปิดตลาด “แข็งค่าหนัก“ ที่ 33.76 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย”ชี้หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ยังคงได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนทั้งการเลือกตั้งสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง มองกรอบเงินบาทวันนี้ 33.60-33.90 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้" ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.76 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.82 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.90 บาทต่อดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ) 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท(USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 33.74-33.85 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยจังหวะการรีบาวด์ขึ้นเกือบ +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ของราคาทองคำ 

ค่าเงินบาทวันนี้ 29 ต.ค.67 ‘แข็งค่า‘ หลังราคาทองคำรับแรงหนุนความไม่แน่นอน

 

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลง หลังเงินดอลลาร์ก็ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงคืนที่ผ่านมาเช่นกัน โดยเงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากความต้องการถือเงินดอลลาร์ ตามการปรับเพิ่มสถานะถือครองสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับ Trump Trades รวมถึงการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งอ่อนค่าทะลุโซน 153 เยนต่อดอลลาร์ ตามแรงกดดันจากส่วนตัวระหว่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่กว้างมากขึ้น และความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นในระยะสั้น หลังพรรค LDP และพรรคพันธมิตร Komeito สูญเสียการครองอำนาจในสภาผู้แทนฯ (Lower House) ในการเลือกตั้งล่าสุด 

แนวโน้มค่าเงินบาท

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาอาจเริ่มชะลอลงบ้าง และเงินบาทอาจแกว่งตัวในลักษณะ Sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเงินบาทยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า ตราบใดที่ราคาทองคำยังพอมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นได้ 

อีกทั้งบรรดาผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้ส่งออก (Exporters) ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์แถวโซน 33.80 บาทต่อดอลลาร์ เป็นต้นไป ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด อย่างไรก็ดี เราคงเชื่อว่าต่อแนวโน้มการทยอยอ่อนค่าลงของเงินบาท เนื่องจากเงินดอลลาร์ก็ยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้ ซึ่งนอกเหนือจากประเด็นการเพิ่มสถานะถือครองให้สอดคล้องกับธีม Trump Trades เรามองว่าในระยะสั้น เงินดอลลาร์ก็อาจพอได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จนกว่าความวุ่นวายและไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นจะลดลงชัดเจน ซึ่งอาจต้องเห็นการเจรจาต่อรองระหว่างพรรค LDP กับพรรคอื่นๆ เพื่อรวมรวบที่นั่งในสภาผู้แทนฯ ให้ได้เสียงข้างมาก อย่างเป็นรูปธรรมเสียก่อน 

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบที่กว้างราว +/-0.19% ในช่วง 30 นาที หลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าวได้ นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน   

ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาด ลักษณะ Two-Way Volatility ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงการปรับมุมมองต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางไปมา ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางไม่ได้ทวีความรุนแรงและบานปลายมากขึ้น อย่างที่ตลาดเคยกังวลก่อนหน้า ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ The Magnificent 7 ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.27% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.41% ตามการทยอยเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาด หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางไม่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทว่า ภาพดังกล่าวก็กดดันตลาดหุ้นยุโรป ผ่านการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell -1.4%, BP -1.4% หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงจากช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาราว -5%

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซน 4.30% โดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงถูกจำกัดลง จากความต้องการถือบอนด์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ที่ต่างรอจังหวะ “Buy on Dip” ทว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังไม่มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงได้ต่อเนื่องชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ หรือมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว -43bps ในปีนี้ และลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีกราว -86bps ในปีหน้า ซึ่งน้อยกว่าที่เฟดประเมินไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน) เช่น กลับมาเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้มากกว่าหรือใกล้เคียงกับที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ซึ่งเรามองว่า อาจจะต้องเห็นภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงพอสมควร ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เรายังคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) เพื่อให้ได้ Risk-Reward ที่คุ้มค่าและเหมาะสม 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการเพิ่มสถานะถือครองสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับธีม Trump Trades และการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำโดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 104.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.1-104.3 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะเผชิญแรงกดดันจากจังหวะการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แต่ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความต้องการถือของผู้เล่นในตลาด หนุนให้ราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์ขึ้นบ้างสู่โซน 2,750-2,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTs Job Openings) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้ 

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของเวียดนาม อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เป็นต้น 

นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน  โดยเฉพาะ Alphabet, AMD และ VISA ซึ่งรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นขนาดใหญ่ดังกล่าว ก็อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ นอกจากนี้ เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น ว่าพรรค LDP จะสามารถจับมือกับพรรคอื่นๆ เพื่อรวบรวมที่นั่งจนได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ได้สำเร็จหรือไม่