‘ทรัมป์ VS แฮร์ริส’ วิเคราะห์สินทรัพย์ ได้ประโยชน์จากนโยบายหาเสียง

‘ทรัมป์ VS แฮร์ริส’ วิเคราะห์สินทรัพย์ ได้ประโยชน์จากนโยบายหาเสียง

‘ทรัมป์ VS แฮร์ริส’ วิเคราะห์สินทรัพย์ ‘คริปโท-ทองคำ-หุ้น’ กลุ่มไหนได้ประโยชน์จากนโยบายหาเสียง ‘เลือกตั้งสหรัฐ 2024’

เหลือเวลาอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก่อนที่ “เลือกตั้งสหรัฐ” ระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน กับ “กมลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดี และตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ก็จะเริ่มขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 67 ตามเวลาไทย

ทั้งนี้ ไม่ว่าใครจะชนะย่อมส่งผลต่อการกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงตลาดและการลงทุน วันนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” มาวิเคราะห์ว่า สินทรัพย์ได้ประโยชน์จากนโยบายหาเสียง

ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นกว่า 20% ทำลายสถิติผลตอบแทนในปีการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2479 อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จที่เกินคาดนี้มาพร้อมกับความเสี่ยงที่อาจตามมา เนื่องจากผลการเลือกตั้งที่สูสีคาดว่าจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดในระยะอันใกล้

โพลีมาร์เก็ต เผยว่า มีโอกาส 59.5% ที่โดนัลด์ ทรัมป์จะได้รับชัยชนะ ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวในตลาดการเงินที่เรียกว่า "Trump trade" อีกครั้ง โดยนักลงทุนได้แสดงความกังวลต่อนโยบายที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งในเรื่องการเพิ่มภาษีศุลกากรและการลดภาษี ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงของพันธบัตรรัฐบาลในสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ร็อบ ฮอว์เวิร์ธ นักกลยุทธ์การลงทุนของธนาคารสหรัฐระบุว่า กุญแจสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวได้อย่างมีทิศทางคือความชัดเจนของผลการเลือกตั้ง เพราะเมื่อผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว นักลงทุนจะสามารถประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจและวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

‘ทรัมป์เทรด’

  • ยกระดับสงครามการค้า

กรณีที่ "ทรัมป์" ชนะ คาดว่าบริษัทที่มีรายได้สูงจากการทำธุรกิจกับจีน จะเผชิญกับแรงกดดันจากการยกระดับสงครามการค้า อาทิ กลุ่มชิป ไม่ว่าจะเป็น Nvidia, Broadcom, Qualcomm รวมถึงกลุ่มวัสดุ อย่าง Air Products and Chemicals และ Celanese Corp. กลุ่มยานยนต์ อาทิ Tesla และ BorgWarner และกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น Otis Worldwide Corp

  • กลุ่มพลังงาน

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานแบบดั้งเดิม ยังน่าจะได้ประโยชน์หาก เนื่องจากทรัมป์ให้คำมั่นที่จะยกเลิกข้อจำกัดในการผลิตน้ำมันในประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อหุ้น Baker Hughes, Exxon Mobil, ConocoPhillips, Occidental Petroleum, Williams Cos, Halliburton, Devon Energy และ Chevron

ด้านหุ้นเกี่ยวกับการป้องกันประเทศเป็นอีกกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์ภายใต้รัฐบาลพรรครีพับลิกัน จากคาดการณ์ที่ว่า การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเป็นสิ่งที่พรรคให้ความความสำคัญอย่างชัดเจน หุ้นที่น่าจับตา ได้แก่ Lockheed Martin, Northrop Grumman และ RTX

  • การเงิน

ภาคการเงินกำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น โดยถูกมองว่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์หากพรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะ เนื่องจากคาดการณ์ว่าจะมีการผ่อนคลายกฎระเบียบและเพิ่มโอกาสในการควบรวมกิจการมากขึ้น 

Fitch Ratings ได้ชี้ให้เห็นว่าคำสั่งฝ่ายบริหารในสมัยประธานาธิบดีไบเดนที่เน้นการตรวจสอบการควบรวมกิจการอย่างเข้มงวด ได้ส่งผลให้กิจกรรมการควบรวมกิจการชะลอตัวลง

เคิร์ต ไรมาน จาก UBS Global Wealth Management มองว่า กลุ่มการเงินถือเป็น “ผู้ได้รับผลประโยชน์หลัก”ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่พรรครีพับลิกันได้ครองอำนาจทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติอย่างเบ็ดเสร็จ  หรือแม้แต่ในสถานการณ์ที่โดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีแต่ต้องทำงานร่วมกับรัฐสภา

  • ทองคำ

หากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 มีการคาดการณืว่าราคาทองคำจะพุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาพุ่งแตะที่ระดับ 2,734.44 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 34% จากต้นปี สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนกำลังเพิ่มการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากนโยบายการคลังที่อาจกระตุ้นเงินเฟ้อในอนาคต

เอริค ดิตัน จากเวลธ์ อัลไลแอนซ์มองว่า ทั้งทรัมป์และแฮร์ริสต่างก็ไม่ได้นำเสนอนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ แต่การวิเคราะห์ล่าสุดชี้ให้เห็นว่า นโยบายของทรัมป์อาจทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมากกว่านโยบายของแฮร์ริสถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า

  • บริการด้านการดูแลสุขภาพ

การดำเนินนโยบายต่อเนื่องจากสมัยแรกของทรัมป์ที่ส่งเสริมโครงการ Medicare Advantage ทำให้บริษัทประกันสุขภาพมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายสนับสนุนภาคเอกชนของทรัมป์

ไมเคิล วีเดอร์ฮอร์น จากออพเพนไฮเมอร์เผยว่า  Humana บริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐมีรายได้หลักมาจาก โครงการ Medicare Advantage กว่า 87% ของเบี้ยประกันทั้งหมดของบริษัท

  • คริปโท

สกุลเงินดิจิทัลและ “บิตคอยน์” อาจได้รับอานิสงส์ทั้งในด้านราคาและการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากทรัมป์เคยให้คำมั่นว่าจะทำให้สหรัฐ เป็น "เมืองหลวงของคริปโท"

นโยบาย 'แฮร์ริส'

หาก "แฮร์ริส" คว้าชัยชนะ คาดว่าจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรม อาทิ พลังงานหมุนเวียน ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า(EV) รวมไปถึงสาธารณูปโภค

  • รถยนต์ไฟฟ้า

แฮร์ริสสนับสนุนความพยายามของรัฐบาลชุดปัจจุบันในการขยายการเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้า คือการให้เครดิตภาษีของรัฐบาลสูงถึง 7,500 ดอลลาร์สําหรับ EV ใหม่ และสูงถึง 4,000 ดอลลาร์สําหรับรถยนต์ EV มือสอง  ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยกระตุ้นทำให้การตัดสินใจซื้อรถง่ายขึ้น

รวมไปถึงผู้ให้บริการเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เช่น ChargePoint Holdings, Beam Global, Blink Charging รวมถึงซัพพลายเออร์และผู้ผลิตแบตเตอรี่

แดน อีฟส์ จากเวดบุชเชื่อว่าการที่ แฮรร์ริสชนะ จะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ อย่าง GM, Ford, Stellantis และแม้แต่ Tesla เนื่องจากทรัมป์เผยว่าจะยกเลิกนโยบายรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไบเดนตั้งแต่ "วันแรก" ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ เช่น First Solar, Sunrun และ Enphase Energy จะได้แรงบวกจากการที่พรรคเดโมแครตสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน

  • ธุรกิจรับสร้างบ้าน

คำสัญญาของแฮร์ริสในการสนับสนุนตลาดที่อยู่อาศัยและทำให้การซื้อบ้านราคาไม่แพงกลายเป็นนโยบายสำคัญ 

แฮร์ริสเสนอให้เงินช่วยเหลือสำหรับดาวน์บ้านครั้งแรกสูงถึง 25,000 ดอลลาร์ และยังมีมาตรการจูงใจทางภาษีสำหรับบริษัทรับสร้างบ้านที่รับงานสร้างบ้านหลังแรก นอกจากนี้ ยังเสนอให้จัดตั้งกองทุนนวัตกรรมมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นนวัตกรรมในการก่อสร้างบ้าน

ไทเลอร์ บาตอรี มองว่าแผนการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ 3 ล้านยูนิตของแฮร์ริส จะเป็นตัวกระตุ้นสำคัญให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโต โดยเฉพาะบริษัทที่เน้นสร้างบ้านระดับเริ่มต้นอย่าง DR Horton ซึ่งมีตำแหน่งทางการตลาดที่โดดเด่น

อ้างอิง Yahoofinance