The dawn of a radical shift
โดยยังคงแนะนำว่านักลงทุนควรกระจายการลงทุนออกไปในสินทรัพย์ทางเลือก
เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานักลงทุนได้รับความชัดเจนใน 2 เรื่อง เรื่องแรกคือผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกัน สามารถชนะการเลือกตั้งในทุกด้าน (Republican or Red sweeps) การเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่างๆ ล้วนไปแนวทางที่ตลาดมีการคาดการณ์ไว้ว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายของทรัมป์ 2.0 เช่น การทำให้บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again: MAGA) นโยบายการลดภาษีนิติบุคคล การเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เป็นต้น
ทำให้ดัชนี Russell 2000 ที่เป็นดัชนีรวมของหุ้นขนาดกลางและเล็กปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นเช่นเดียวกับ ดัชนี S&P500 equal weight ก็ปรับตัวขึ้นมากกว่าดัชนี S&P500 สะท้อนมุมมองที่ว่าบริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อในยุคสมัยของทรัมป์ทำให้มีการกระจายการลงทุนไปในวงกว้างมากขึ้น
อย่างไรก็ตามในช่วงข้างหน้าเราจะได้เห็นความชัดเจนของแผนนโนบายต่างๆ มากขึ้นซึ่งจะเริ่มมีการวางตัวรัฐมนตรีที่จะเข้ามาดูแลในแต่ละด้านซึ่งหนึ่งในตำแหน่งที่สำคัญคือ รัฐมนตรีคลังซึ่งจะมีผลต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งทรัมป์ได้เลือก Scott Bessent เข้ามารับหน้าที่โดยเบื้องต้นได้นำเสนอแนวทาง 3-3-3 (3% การเติบโตทางเศรษฐกิจ 3% ลดการขาดดุลงบประมาณ และการผลิตน้ำมัน 3 ล้านลิตรต่อวัน) นักลงทุนให้การตอบรับเชิงบวกและลดความกังวลว่าเงินเฟ้อในยุคทรัมป์จะกลับมาพุ่งสูงขึ้น เรื่องที่สองคือการประกาศผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตามมูลค่าตลาดอย่าง Nvidia ที่ยังสะท้อนภาพวัฏจักรการลงทุนใน Artificial Intelligence นั้นยังคงเติบโต
เมื่อเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2024 ซึ่งนับเป็นปีที่ดีของการลงทุน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นยังคงเป็นตลาดที่สร้างผลตอบแทนได้ดีปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่มากกว่า 40 ครั้งในปีนี้ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปดูการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในตลาดจะพบว่าเป็นอีกปีที่ไม่มีนักวิเคราะห์คนไหนให้ระดับเป้าหมายของดัชนีได้อย่างแม่นยำแม้จะมีการปรับราคาเป้าหมายกันหลายรอบแล้วก็ตาม
ข้อมูลจาก Bloomberg พบว่าระดับเป้าหมายของดัชนี S&P500 ที่นักวิเคราะห์ให้ไว้นั้นอยู่ระหว่าง 3,300-5,400 จุด เมื่อเทียบกับระดับปัจจุบันที่ราวๆ 6,000 จุด ซึ่งนับเป็นความผิดพลาดในการประเมินถึง 11% และที่เลวร้ายสุดพลาดถึง 81% ดังนั้น นักลงทุนอาจะลดการให้ความสำคัญต่อระดับดัชนีเป้าหมายลง เป็นไปได้ว่าในปีหน้านักวิเคราะห์ที่มีมุมมองเชิงลบอย่ามากปีนี้อาจมีปรับการประมาณการณ์ในปีหน้า
เมื่อมองไปปี 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นำโดยบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกจะเข้าสู่ปีที่ 17 ของตลาดหุ้นขาขึ้นขนาดใหญ่ที่ขึ้นมาตั้งแต่จุดต่ำสุดปี 2009 โดยข้อมูลในอดีตยังไม่มีเหตุชี้ชัดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มซึ่งส่วนมากมักจะเกิดเมื่อเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจเช่นในปี 1974, 1983, 2001 และ 2008 ซึ่งเรายังไม่เห็นความเสี่ยงที่จะเกิดในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ ทำให้เรายังคาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อแต่อาจจะคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลงจากระดับมูลค่า (Valuation) ณ ปัจจุบันที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้เรายังคงให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากกว่าภูมิภาคอื่น
อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันดัชนีวัดความผันผวนนั้นจะอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ขณะที่นักลงทุนอาจจะมีการคาดการณ์ในแง่บวกต่อการกลับเข้าสู่ตำแหน่งของทรัมป์ แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าจะมีความไม่แน่นอนด้านนโยบายเพิ่มมากขึ้น
เรายังคงแนะนำว่านักลงทุนควรกระจายการลงทุนออกไปในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternatives investment) มากขึ้นเช่น Private asset และ Hedge fund ซึ่งที่ผ่านมาจะพบว่ากองทุนเหล่านี้มักจะเน้นสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและไม่มีความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาดหุ้น
ในกรณีของ Private equity หรือการลงทุนในบริษัทนอกตลาดเราคาดว่ากิจกรรมการควบรวมทางกิจการจะกลับมาเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มกฎหมายที่ผ่อนคลายลง ซึ่งในปีนี้เราได้เห็นรูปแบบการลงทุนใหม่ๆ ที่เรียกว่าเป็นกองทุน Evergreen ซึ่งจะสามารถซื้อได้ทุกเดือนและสามารถขายได้ทุกไตรมาสทำให้ลบข้อจำกัดในการลงทุนในแบบดั้งเดิม (Traditional draw down fund) ที่มักจะเปิดรับเงินทุนเป็นรอบๆ
โดยจะทยอยเรียกเงินในช่วง 3-5 ปีแรก และจะปิดกองคืนเงินพร้อมผลประโยชน์จากการลงทุนเมื่อครบ 10ปี ในขณะที่กองทุน Hedge fund ที่ใช้กลยุทธ์แบบหลากหลายหรือ Multi-strategy รวมถึงกองทุนแบบ Multi-manager มักจะมีการใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อประโยชน์ในการสร้างพอร์ตที่มีความผันผวนต่ำไม่ขึ้นกับสภาวะตลาดหรือ Market neutral ทำให้มีการปรับตัวลงที่น้อยกว่าตลาดและเน้นการสร้างผลตอบแทนส่วนเกินอย่างสม่ำเสมอจะเป็นส่วนประกอบที่ดีที่ใช้กระจายความเสี่ยงในการสร้างพอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน