แบงก์ชาติจีน ระงับ ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หวังสกัด ‘เก็งกำไร’ เศรษฐกิจอ่อนแอ

แบงก์ชาติจีน ระงับ ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หวังสกัด ‘เก็งกำไร’ เศรษฐกิจอ่อนแอ

PBOC ประกาศหยุดซื้อพันธบัตรรัฐบาลชั่วคราว หลังอุปทานต่ำกว่าความต้องการ พร้อมส่งสัญญาณจะกลับมาซื้อใหม่เมื่อตลาดเอื้ออำนวยหวังสกัดเก็งกำไรของนักลงทุนที่เดิมพันว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าเงินหยวนและบั่นทอนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภค

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (10 ม.ค.) ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศระงับการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นความพยายามล่าสุดในการสกัดการเก็งกำไรของนักลงทุนที่เดิมพันว่าเศรษฐกิจจีนอยู่ในทิศทางขาลงซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าเงินและทำลายความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภค
ทั้งนี้ PBOC จะระงับการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในเดือนนี้ เนื่องจากอุปทานของพันธบัตรต่ำกว่าอุปสงค์ โดยเวลาที่เหมาะสมในการกลับมาซื้อพันธบัตรอีกครั้งขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในอนาคต 

ดัชนีสำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะนักลงทุนเก็งกำไรเรื่องการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างรุนแรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย โดยพวกเขาหันมาลงทุนในพันธบัตรท่ามกลางวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ การบริโภคที่อ่อนแอ และความกังวลเรื่องภาวะเงินฝืด ทั้งหมดส่งผลให้ “ค่าเงินหยวน” ในตลาดต่างประเทศร่วงลงใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
แบงก์ชาติจีน ระงับ ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หวังสกัด ‘เก็งกำไร’ เศรษฐกิจอ่อนแอ

เคน ชอง หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเอเชียของธนาคารมิซูโฮ กล่าวว่าท่าทีของธนาคารกลางครั้งนี้สะท้อน "ความไม่สบายใจของทางการต่อการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและแรงกดดันต่อการอ่อนค่าของเงินหยวนที่เพิ่มขึ้น" เขากล่าวเพิ่มเติมว่า "ระดับผลตอบแทนได้สะท้อนแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางไว้เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่หยวนยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากดอลลาร์ที่แข็งค่าและภัยคุกคามจากการขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์"


เมื่อปีที่แล้ว PBOC ได้ปรับโครงสร้างกรอบนโยบายและเพิ่มการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลในฐานะเครื่องมือในการจัดการสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ทำให้ผลดำเนินงานคล้ายคลึงกับธนาคารกลางทั่วโลกมากขึ้น แต่การใช้เครื่องมือนี้กำลังได้รับการท้าทายจากการปรับตัวขึ้นของราคาพันธบัตร ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับ PBOC เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการเงินและสัญญาณด้านลบที่ส่งถึงแนวโน้มการเติบโต

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า นักลงทุนในตลาดพันธบัตรไม่เคยมองเศรษฐกิจจีนในแง่ลบมากเท่านี้มาก่อน โดยบางรายเริ่มเก็งกำไรเรื่องภาวะเงินฝืด โดยความแตกต่างกับสหรัฐชัดเจนขึ้นเรื่อยฟ จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้นทุกวัน โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ทั้งหมดเอื้อประโยชน์ต่อดอลลาร์ ขณะที่เงินหยวนอ่อนค่าลงมาซื้อขายใกล้ขอบล่างของกรอบที่ธนาคารกลางกำหนดเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แม้ทางการจะพยายามรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนก็ตาม 
 

เซเรนา โจว นักเศรษฐศาสตร์จากมิซูโฮ ซีเคียวริตี้ส์ เอเชีย กล่าวว่า "นี่เป็นอีกหนึ่งการเคลื่อนไหวของ PBOC เพื่อสนับสนุนอัตราแลกเปลี่ยนหยวน"

เมื่อวันศุกร์ PBOC ได้ประกาศอัตราอ้างอิงประจำวันสำหรับการควบคุมการเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวน ซึ่งแข็งค่ากว่าที่ตลาดคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะออกพันธบัตรรัฐบาลสำหรับฮ่องกงในเดือนนี้ในจำนวนที่สูงเป็นประวัติการณ์เพื่อลดปริมาณสภาพคล่องและสนับสนุนค่าเงินหยวน

มาตรการผ่อนคลายขั้นสุด

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า แถลงการณ์ล่าสุดอาจช่วยลดการเก็งกำไรเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นหลังจากผู้นำระดับสูงสัญญาว่าจะใช้นโยบายการเงิน "ผ่อนคลายพอประมาณ" ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่ไม่เคยได้ยินมา 14 ปี ด้านแบงก์ออฟอเมริกา ประมาณการว่า PBOC จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสุทธิ 3 ล้านล้านหยวน (4.09 แสนล้านดอลลาร์) ในปีนี้ในฐานะเครื่องมือนโยบายเสริม

ทั้งนี้ สัญญาณจากตลาดเงินจีนบ่งชี้แล้วว่า นักลงทุนบางรายพยายามเดิมพันว่าทางการจะชะลอมาตรการผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนค่าเงินที่อ่อนแอ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนปรับตัวสูงขึ้นทั่วทุกช่วงอายุหลังการประกาศ โดยอัตราผลตอบแทน 5 ปีเพิ่มขึ้นสูงสุด 0.08% และอัตราผลตอบแทน 10 ปีเพิ่มขึ้น 0.04% สู่ 1.675% โดยค่าเงินหยวนในตลาดต่างประเทศแข็งค่าขึ้น 0.1%
PBOC ได้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสุทธิ 1 ล้านล้านหยวนต่อเนื่องเป็นเวลาห้าเดือนจนสิ้นสุด ณ เดือนธ.ค. หลังจากเริ่มทำธุรกรรมพันธบัตรกับดีลเลอร์หลักเป็นประจำในเดือนส.ค. โดยดัชนีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.60% เมื่อต้นสัปดาห์นี้

อย่างไรก็ตาม ลินน์ ซง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนแผ่นดินใหญ่ ที่ธนาคาร ING ในฮ่องกง เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการตอบสนองต่อสภาวะตลาดในระยะสั้นมากกว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยธนาคารกลางอาจลดอัตราดอกเบี้ยหรือมาตรการผ่อนคลายอื่นๆ ในไตรมาสแรกของปีนี้
 

อ้างอิง: Bloomberg