‘ทักษิณ’ เปิด 7 ปัญหาฉุดตลาดหุ้นไทย สั่ง ก.ล.ต. - ตลท. ฟื้นเชื่อมั่นเร่งด่วน

‘ทักษิณ’ เปิด 7 ปัญหาฉุดตลาดหุ้นไทย สั่ง ก.ล.ต. - ตลท. ฟื้นเชื่อมั่นเร่งด่วน

“ทักษิณ” ชี้ 7 ปัญหาฉุดรั้งตลาดหุ้นไทยเติบโต สั่ง ก.ล.ต. - ตลท.เร่งฟื้นความเชื่อมั่นเร่งด่วน - ลงดาบบริษัททำผิดทันที หวังฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน แนะตื่นตัวรับบิตคอยน์ - คริปโทเคอร์เรนซี ก่อนไม่ทันโลก จ่อดึงต่างชาติจากเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุในงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ “Dinner Talk Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital Market” มาร่วมกันเปลี่ยนตลาดหมีเป็นกระทิงว่า กล่าวว่า หากดูภาพรวมของตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน อยู่ภายใต้ 3 คำ คือ  trust ความน่าเชื่อถือ confidence ความเชื่อมั่น และ sentiment ความรู้สึกต่างๆ ซึ่งยอมรับว่า ปัจจุบันทั้ง 3 คำถือว่าไม่ค่อยดี ดังนั้นต้องเร่งนำกลับคืนมา

ทั้ง ความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจของนักลงทุน ส่วนเซนทิเมนต์มาจาก สถานการณ์โลกด้วย จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต่างๆ ของสหรัฐ และการเข้ามารับตำแหน่งของทรัมป์ ที่จะมีผลลบ และผลบวกกับประเทศไทย

ทั้งนี้ ปัญหาที่ได้รับฟังจากทั้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่จะต้องมีการพัฒนากันต่อเนื่อง เนื่องจากที่ผ่านมาการปรับตัวของทั้ง ตลท.และก.ล.ต.ยังทำได้ค่อนข้างช้า ต่อไปนี้ต้องเร็วมากขึ้น 

ทั้งนี้ หากพูดถึงปัญหา ที่เกี่ยวกับตลาดทุน พบว่ามีหลายด้าน เรื่องแรกคือ corporate Governance ความโปร่งใสในตลาดหลักทรัพย์ มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นค่อนข้างมาก ที่การแก้ปัญหา การอธิบายทำได้ช้า ดังนั้นหลังจากนี้ ต้องมีการมอนิเตอร์ ตรวจสุขภาพบริษัทจดทะเบียนต่อเนื่อง ไม่ใช่เข้าตลาดได้แล้วไม่ต้องมอนิเตอร์ต่อ เหล่านี้ก็เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของตลาดได้ 

นอกจากนี้ ตลท. ต้องติดตาม ฝ่ายบริหารของแต่ละบริษัท ไม่ให้ใช้เงินผิดประเภท ต้องทำบัญชีที่ถูกต้อง ระบบตรวจสอบบัญชีต้องถูกต้อง บริหารที่ถูกต้อง และต้องให้มั่นใจว่า สิ่งเหล่านี้ จะไม่เกิดปัญหากระทบตลาดหลักทรัพย์ 

ปัญหาที่สอง High frequency trading หรือ HFT คือ ให้โรบอตเทรดเข้ามาซื้อขายในตลาด ที่ปัจจุบันตัวนี้ ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อใครเลย สร้างได้เพียงวอลุ่มการซื้อขาย ดังนั้นไม่อยากให้มีส่วนนี้ และยังเป็นการทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกัน ดังนั้น ตลท.มีหน้าที่ไม่ให้เกิดเอาเปรียบกัน ต้องสร้างความเท่าเทียมให้มากขึ้น 

ปัญหาที่ 3 การเคลื่อนไหวช้า (slow action) กรณีที่เกิดปัญหาเกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ต่างชาติขาดความน่าเชื่อถือ และเกิดปัญหาสะสมมาต่อเนื่อง เหล่านี้ทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการเตรียมพร้อมคือ การเพิ่มอำนาจให้ก.ล.ต. เหมือนหลักสากล ให้สามารถจัดการปัญหาให้ทันที ไม่ต้องรออัยการ รอDSI  เพราะเหล่านี้กระทบต่อความเชื่อมั่น และทำให้ความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทยเสียหาย ดังนั้นรัฐบาลต้องตระหนักและเทคเอคชั่นอย่างเร่งด่วน 

ปัญหาที่ 4 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เป็นธุรกิจเก่า ที่เข้ามาใหม่ๆ ใหญ่ๆ ไม่ค่อยมี ดังนั้นรัฐบาลก็จะ ชวนสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุนหรือ(บีโอไอ) เพื่อผลักดันให้บริษัทต่างๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น จูงใจให้เข้าตลาดไทยมากขึ้น เช่นเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์  ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เพิ่งอนุมัติหลักการวันนี้ ที่กำลังเตรียมข้อกฎหมายเข้าสภาฯ ตรงนี้มีเม็ดเงินลงทุนราว 5 แสนล้านบาท ดังนั้นต้องสนับสนุนให้บริษัทที่จะเข้ามาลงทุนเหล่านี้ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มหน่วยลงทุนเพิ่ม เพิ่มบริษัทในตลาดมากขึ้น เพิ่มซัพพลายมากขึ้น 

ปัญหาที่ 5 หุ้นหลายตัวมี Price to book ratio และ อัตราส่วนกำไรต่อหุ้น(P/E )ต่ำ ดังนั้นอยากสนับสนุน ให้ใช้ Treasury sto12ck (ซื้อคืนหุ้น)  ให้บริษัทเหล่านี้ซื้อหุ้นของตัวเองเข้าพอร์ตไว้ เป็น Treasury stock เพื่อทำ ราคาหุ้น และ price to book ใกล้เคียงกัน 

ปัญหาที่ 6 คือ ต้องการ empower จาก ก.ล.ต. รัฐบาลอยากเห็น ก.ล.ต. มีภาคดิจิทัล เพราะวันนี้ เห็นชัดเจนว่า ภายใต้การรับตำแหน่งของทรัมป์ มีการประกาศในการชำระหนี้ด้วยบิตคอยน์ และสนับสนุนคริปโทเคอร์เรนซี ดังนั้นวันนี้สิ่งเหล่านี้คงหนีไม่พ้น ดังนั้นการที่ประเทศมหาอำนาจอยากสหรัฐเคลื่อนมาสู่ตรงนี้  เราควรตื่นตัวมากขึ้น ว่าสิ่งเหล่านี้มาแล้ว คนที่ยังไม่เข้าใจ ปิดตัวเอง ไม่รับรู้ ต้องเปิดใจได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันเขา 

รวมไปถึง การอนุญาตให้เทรด Stablecoin คอยน์ที่มีแอสเซท แบล็ก ล่าสุดมีการหารือกับรมว.คลัง และนายกรัฐมนตรี  ว่าทุกวันนี้การออกบอนด์ รัฐบาลต้องตั้งงบขาดทุน สิ้นปีก็เก็บดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยอะไร ดังนั้นจะสามารถเอาบอนด์ตรงนี้ ที่ข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจได้หรือไม่ โดยขายบอนด์ให้กับประชาชน สถาบัน ล็อตเล็กๆสั้นๆ เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ต้องหารือกัน โดยจุดเริ่มต้นมาจาก รัฐบาลเอง ที่ใช้ Stablecoin โดยใช้พันธบัตรรัฐบาล ดังนั้นอยากให้ก.ล.ต. เตรียมเปิดทาง กติกาต่างๆเพื่อรองรับโลกที่กำลังเปลี่ยนไป 

ปัญหาที่ 7 ที่ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างการดำเนินการ คือ การเปิดตลาดคาร์บอนเครดิต โดยการเปิดเป็นศูนย์เทรดคาร์บอนเครดิต เพื่อให้คนไทยได้ราคาดีขึ้น ไม่ต้องเสียเปรียบ ไม่ต้องไปเทรดต่างประเทศ เพราะหากดูการขายคาร์บอนเครดิตปัจจุบันของไทยซื้อขายที่ 7 ดอลลาร์ต่อตัน  ขณะที่สิงคโปร์ 14 ดอลลาร์ ยุโรป 35 ดอลลาร์ ซึ่งราคาห่างกันค่อนข้างมาก ดังนั้นหากสามารถเปิดศูนย์คาร์บอนเครดิตได้ จะได้ทำเราได้ประโยชน์ อีกทั้งช่วยเพิ่มการส่งออกด้วย  ซึ่งหวังว่าจะสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ มองว่าการเทรดโทเคน ที่จะช่วยให้ภาครัฐ เอกชน ที่มีแอทเซส ที่ไม่แอคทีฟ ทั้งบ้าน คอนโด ห้องเช่า มาแปลงสินทรัพย์ หรือ Tokenization ได้ ตลาดก็ต้องมองว่าจะเทรดอย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้มาแน่ และพูดกันมา 3 ปีแล้ว ซึ่งเชื่อว่ามีนี้ เกิดขึ้นได้

โดยเฉพาะเวอร์ชวลแบงก์ ที่จะเกิดขึ้น เราพูดกันมานานแล้ว แต่ปัจจุบันการให้ใบอนุญาต(ไลเซนส์)ยังไม่ออก โดยที่ ธปท.ตั้งไว้คือ 3 ไลเซนส์  แต่ผมว่าน้อยเกินไป สำหรับ 3 ไลเซนส์ 

นอกจากนี้หากจะ “รีเซท”ตลาดหุ้นไทยมองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดหากมีเครื่องมีเดียวที่ต้องทำคือ การเร่งสร้าง Transparency คือเร่งสร้างความโปร่งใสในตลาดหลักทรัพย์ ที่มองว่าเป็นหัวใจสำคัญในการรีเซทตลาดหุ้นไทย ทั้งกติกา บริษัทในตลาด เพราะปลาเน่าตัวเดียวเสียทั้งหมด ดังนั้นต้องทำตัวนี้ 

“การวิเคราะห์วันนี้ research house ต่างๆ ไม่ค่อยวิเคราะห์กันขยันขันแข็งเหมือนเมื่อก่อน วันนี้เห็นน้อยลง อาจจะตลาดไม่น่าสนใจ หรือตลาดนักลงทุนต่างประเทศเหลือน้อย ดังนั้นไม่ต้องห่วงนักลงทุน หากเราสวยเขาก็มาเอง เราต้องทำตัวเองให้สวยก่อน เงินไปทุกที่ ที่ทำเงินได้ หากที่ไหนทำเงินได้ไปไหววอนก็ไม่มา หากดีด่ามันก็มา นี่คือทุนนิยม เงินจะไหลไปเรื่อยๆ เราต้องทำตัวเองให้สวยหล่อไว้ก่อน”
 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์