เงินเยน สวิสฟรังก์แข็งค่าขึ้น ผู้ค้าหาที่หลบภัยสงครามภาษี

บลูมเบิร์ก รายงานว่า เงินเยนและฟรังก์สวิสแข็งค่าขึ้นเมื่อวันจันทร์( 7เม.ย.) เนื่องจากผู้ค้าพยายามหาแหล่งหลบภัยจากความเสี่ยงสงครามภาษีศุลกากร หลังจากเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ยังยืนกรานกับการขึ้นภาษีศุลกากรและระบุว่าการเจรจาต่อรองจะใช้เวลานานขึ้น

สกุลเงินของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น 1% อยู่ที่ 145.41 เยนต่อดอลลาร์(100 เยนต่อ 23.6 บาท) และสวิสฟรังก์เพิ่มขึ้น 0.7% เนื่องจากนักลงทุนปิดรับความเสี่ยงเป็นสัปดาห์ที่สองต่อเนื่อง ดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.7% ส่งผลให้สกุลเงินหลักของตลาดพัฒนาแล้วอ่อนค่าลง

การเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยยังคงเพิ่มขึ้น เนื่องจากเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมายังไม่มีสัญญาณว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะยอมลดกำแพงภาษีศุลกากรตอบโต้ลง หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่าไม่สามารถเจรจายุติปัญหาการค้าได้ในเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์

ดัชนีหุ้น S&P 500 สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ร่วงลงในการซื้อขายช่วงเช้าของเอเชีย ขณะที่ราคาพันธบัตรก็เพิ่มขึ้น 

“หากทรัมป์ยังคงใช้นโยบายแข็งกร้าว เราจะได้รับผลกระทบมากขึ้นจากความเสี่ยงที่สูงขึ้น” นิค ทวิเดล หัวหน้านักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ AT Global Markets ในซิดนีย์กล่าว “การทำข้อตกลงที่ใช้เวลานานหลายเดือนไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการค้าโลก และคงไม่ใช่สิ่งที่นักลงทุนคาดหวังจากรัฐบาลชุดนี้ที่ยอมลดภาษีลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา”

นักลงทุนแห่ซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรที่ทวีความรุนแรงขึ้นทำให้เกิดความกลัวว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวและจะเกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน-เงินเฟ้อสูง(Stagflation) ของเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก การตอบโต้ของจีนต่อภาษีของสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนและหุ้นผันผวนสูงขึ้น โดยหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020

สินทรัพย์ของออสเตรเลียได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากเศรษฐกิจขนาดเล็กที่เปิดตลาดเสรีนี้ต้องพึ่งพาการเชื่อมโยงทางการค้าโลก สกุลเงินออสเตรเลียร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2008 ในขณะที่หุ้นของออสเตรเลียก็ร่วงลง

“ทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐมนตรีกระทรวงการคลังเบสเซนต์ ดูเหมือนจะไม่หวั่นไหวกับปฏิกิริยาของตลาด และตลาดจะพยายามทดสอบความมุ่งมั่นของพวกเขาในสัปดาห์นี้” คริส เวสตัน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของโบรกเกอร์ Pepperstone Group ในเมลเบิร์นกล่าว