ผลสำรวจ IAA ชี้ เศรษฐกิจฟื้นตัว กำไร บจ.โต เพิ่มเป้าดัชนีสิ้นปี 39 จุด ที่ 1,685 จุด
“สมาคมนักวิเคราะห์" เผยผลสำรวจ IAA Survey ไตรมาส 4 /65 ชี้ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง - กำไร บจ.โต 13.51% หนุนเพิ่มเป้าดัชนีสิ้นปี 65 ที่ 1,685 จุด เพิ่มขึ้น 39 จุด จากคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน ที่ 1,646 จุด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนรวม 25 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 4 ปี 2565 สรุปได้ดังนี้
ทั้งนี้สมมติฐานหลัก มีการปรับลดราคาน้ำมันดิบของปีนี้ จาก 102.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 98.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และทำให้ต้องลดคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ไทย ปี 2565 จากเดิมที่ 3.18% ลงมาเหลือที่ 3.09% ส่วนสมมติฐาน GDP ปี 2566 นั้นยังมองเป็นบวกที่ 3.86%
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2565 ปัจจัยบวก ได้แก่ ภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ผู้ตอบแบบสำรวจ 96% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมาผู้ตอบ 92% ผลประกอบการ บจ.ปี 2565 และผลประกอบการ บจ.ปี 2566 มีผู้ตอบ 80% ตามลำดับ
ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทย ในขณะนี้จนถึงสิ้นปี 2565 ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก ผู้ตอบทั้งหมดเทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลลบ รองลงมาทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ(FED) และปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบเท่ากันที่ 92% ตามมาด้วยการลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบ 84% ตามลำดับ
การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ในไตรมาส 4 ปี 2565 มีนักวิเคราะห์ถึง 56% ที่คาดว่าจะปรับขึ้น 0.25% ส่วนที่เหลือนั้น มี 32% ที่มองว่าปรับขึ้น 0.50% ทั้งนี้มีเพียง 4% ที่มองว่าปรับขึ้น 1.00% หรือมากกว่า และมี 8% ที่มองว่าจะไม่มีการปรับในไตรมาส 4 ปีนี้
ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ปี 2566 มีนักวิเคราะห์ถึง 36% ที่คาดว่าจะปรับขึ้น 0.50% ส่วนที่เหลือนั้น มี 24% ที่มองว่าปรับขึ้น 0.75% ผู้ตอบ 16% ที่มองว่าจะปรับขึ้น 1.00% และมี 12% ที่มองว่าปรับขึ้น 0.25% ตามลำดับ ทั้งนี้มีเพียง 4% ที่มองว่าคงที่
ส่วนทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 ของตลาดเฉลี่ยที่ 100.36 บาท เพิ่มขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 94.47 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth ของปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 13.51%
สำหรับคาดการณ์จุดสูงสุดของ SET Index ช่วง ต.ค. - ธ.ค. 65 เฉลี่ยที่ระดับ 1,709 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,585 จุด และเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2565 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,685 จุด ซึ่งเพิ่มขึ้น 39 จุด จากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน อยู่ที่ 1,646 จุด
นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น
• เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 19.57%
• กองทุนตราสารหนี้ 18.91%
• หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 26.30%
• หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 20.43%
• กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.83%
• ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.96%
สำหรับในส่วนของการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์ แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
1.ADVANC ได้ประโยชน์จากความต้องการใช้สื่อสารเพิ่มในช่วงเลือกตั้งหาเสียง ระยะกลางได้แรงหนุนจากการควบรวม 3BB, BJC
2.AOT มุมมองในระยะสั้น จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังไทยยกเลิกระบบ Thailand Pass ตั้งแต่ 1 ก.ค.65 หนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ราว 1.4 ล้านคน ในเดือนส.ค. (45% เทียบกับช่วง Pre COVID-19) ส่งผลให้ผลประกอบการ 4Q64/65 ของ AOT มีผลขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ QoQ และคาดมีโอกาสกลับมาทำกำไรปกติได้ใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้า
3.BBL มองเป็นธนาคารพาณิชย์ใหญ่ที่ได้เปรียบจากการที่ กนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 2 ในปีนี้ที่ระดับ 0.25% มาอยู่ที่ 1%
4.KBANK ปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น นอกจากนี้การทำธุรกิจร่วมทุน JK AMC ทำให้ KBANK มี Balance Sheet ที่แข็งแกร่งมากขึ้น
ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาล เกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึง นโยบายที่เพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค ได้แก่ ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก ลดภาษีบุคคลธรรมดา
ตามมาด้วย การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ สนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ช่วยสภาพคล่องรักษาการจ้างงาน SME รวมถึงสนับสนุนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น และข้อแนะนำสุดท้าย เสนอเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์