ปรับน้ำหนักดัชนีใหญ่ส่งท้ายปี 65 เพิ่มลงทุนไทย - ล็อกเป้าหุ้น TLI
นาทีนี้หุ้นไทยยังทรงตัวเหนือ 1,600 จุด ได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือนก.ค. ดัชนีลงแรงตามแพนิคเซลล์ไปแตะ 1,533 จุด แต่หลังจากนั้นดัชนีหุ้นไทยฝ่าปัจจัยผันผวนเหนือ 1,600 จุด และยังทรงตัวที่ 1,630 จุดได้ เป็นการเพิ่มขึ้น 100 จุด
ปัจจัยดังกล่าวทิศทาง ค่าเงินดอลลาร์ แข็งค่ากว่าทุกสกุลอื่น จนทำให้มีการ แทรกแซงค่าเงิน ของประเทศที่ค่าเงินอ่อนค่าอย่างมาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตร หรือ Bond Yield ทำนิวไฮในอายุระยะสั้น และระยะยาว ท่ามกลาง นโยบายการเงิน เร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75 % ถึง 4 ครั้งติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นได้ว่าฟันด์โฟลว์เข้าพักเงินในสกุลเงินดอลลาร์เป็นหลัก
ตลาดหุ้นทั่วโลก ได้รับผลกระทบดัชนีปรับตัวลดลงถ้วนหน้า แต่ หุ้นไทย ถือได้ว่าแข็งแกร่งกว่า ตลาดหุ้นเอเชีย และภูมิภาคด้วยซ้ำ
หากเจาะไปที่เม็ดเงินฟันด์โฟลว์เข้าลงทุนตลาดทุนไทย ผ่านการลงทุนของต่างชาติจากต้นปีจนถึงล่าสุด (7 พ.ย.) มียอดซื้อสุทธิ 171,270 ล้านบาท ขณะที่ย้อนหลังรายเดือนตั้งแต่
- ก.ค. มียอดกลับมาซื้อสุทธิ 4,662 ล้านบาท
- เดือนส.ค. ยอดซื้อสุทธิ 57,014 ล้านบาท
- เดือนก.ย. ยอดขายสุทธิ 24,279 ล้านบาท
- เดือนต.ค. ยอดซื้อสุทธิ 8,600 ล้านบาท
การซื้อสุทธิของต่างชาติช่วงนี้ทำให้ ค่าเงินบาท กลับมาแข็งค่าที่ 37.34 บาท (8 พ.ย.) ขณะที่ ดัชนี US Dollar Index มีทิศทางลดลงสู่ระดับ 110.2 จุด ท่ามกลางการคาดการณ์ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) นัดสุดท้ายเดือนธ.ค. ยังขึ้นดอกเบี้ยแต่ลดความเข้มงวดมาอยู่ที่ 0.50% รวมทั้งภาวะการเมืองของสหรัฐอยู่ระหว่างการเลือกตั้งกลางเทอม (8 พ.ย.) ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567
หากพรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งกลางเทอม คาดการณ์จะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยเร็วขึ้น ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุสถิติที่สำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1970
หุ้นสหรัฐ มักผันผวนสูงขึ้นในช่วงก่อนเลือกตั้ง (ส.ค.-ต.ค.) และยังมีความท้าทายจากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย แต่มีโอกาสได้รับ Honey moon period ในช่วง 3-6 เดือนหลังการเลือกตั้ง ซึ่งจะหนุนกับบรรยากาศลงทุนโดยรวม
หลังการเลือกตั้งกลางเทอม ตลาดหุ้นสหรัฐ มักให้ผลตอบแทนที่ดี เฉลี่ย 20.1% และกรณีพรรครีพับลิกันที่มักมีนโยบายที่เป็นมิตรกับนักลงทุนมากกว่า ทำให้หลังเลือกตั้งกลางเทอมตลาดหุ้นมักจะขึ้นมากกว่า
ค่าเฉลี่ยผลตอบแทน 12 เดือน (Republican +17.5% vs Democrat +13.7%) และที่ค่าเฉลี่ย 24 เดือน (Republican +36.3% vs Democrat +22.1%)
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทย ยังมีตัวช่วยหนุนหุ้นจากฟันด์โฟลว์รอบใหม่หลังดัชนีหลังมีการปรับน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย และปรับ-ลดหุ้นรายตัวแต่ละตลาด
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน ระบุคาดการณ์ ดัชนี MSCI Global Index Rebalance Fact : MSCI จะประกาศรายชื่อหุ้นชุดใหม่วันที่ 10 พ.ย. หลังตลาดสหรัฐปิด และจะมีการปรับน้ำหนักในวันที่ 30 พ.ย. 2565 ซึ่งมีผลต่อตลาดหุ้นไทย จากปัจจัย
1) คาดตลาดหุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักได้แก่ หุ้นจีน (ทั้ง H-shares & Ashares) อินเดีย ไต้หวัน และไทย มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนัก ส่วนเกาหลี อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย เสี่ยงถูกลดน้ำหนัก
2) สำหรับตลาดหุ้นไทย MSCI Global Standard Index มีหุ้นไทยที่ คาดว่าจะเข้า 1 บริษัท คือ TLI คาดเม็ดเงินราว 70 ล้านดอลลาร์ ส่วนหุ้นคาดว่าจะหลุดจากดัชนี คือ BAM คาดถูกขายราว 41ล้านดอลลาร์ ดังนั้นจึงแนะนำเก็งกำไร TLI(TP 20.1 บาท ) และหลีกเลี่ยงลงทุน BAM ระยะสั้น
ขณะที่ ดัชนี FTSE All World Index Rebalance Fact : FTSE จะประกาศรายชื่อหุ้นชุดใหม่สำหรับ FTSE All World Index วันที่ 18 พ.ย. 2565 และมีผลการปรับน้ำหนัก 16 ธ.ค. 2565 ซึ่งมีผลต่อตลาดหุ้นไทยจากปัจจัยคาดว่ามีหุ้นไทย 1 บริษัทที่จะเข้าดัชนีหลักของ FTSE รอบนี้คือ TLI (High Conviction หรือ โอกาสสูง)
คาดเข้าใหม่ ด้วยเม็ดเงินราว 80.6 ล้านดอลลาร์ บวกต่อ TLI(TP20.1 บาท) จากโอกาสการเข้า Global Standard Index 2 ดัชนีในช่วง ใกล้เคียงกัน กลยุทธ์แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์