ดาวโจนส์ร่วง 7 จุด กังวลบอนด์ยีลด์พุ่ง-เฟดขึ้นดบ.ฉุดเศรษฐกิจถดถอย
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(17พ.ย.)ปรับตัวร่วงลง 7 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 7.51 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 33,546.32 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 12.23 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 3,946.56 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 38.70 จุด หรือ 0.35% ปิดที่ 11,144.96 จุด
ราคาหุ้นปรับตัวลงทุกกลุ่ม ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มการเงิน ซึ่งถูกมองว่าได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น
นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้ ยังไม่ได้อยู่ในช่วงที่มีความเข้มงวดเพียงพอ
ส่วนนางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟด สาขาแคนซัส ซิตี้ กล่าวว่า เฟดอาจจะต้องทำให้เศรษฐกิจหดตัวลงเพื่อให้เงินเฟ้อชะลอตัว ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงมีความตึงตัว
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของเฟด ดีดตัวเหนือระดับ 4.4% และอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีและ 30 ปี ส่งผลให้ตลาดพันธบัตรเกิดภาวะ inverted yield curve ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย
ขณะเดียวกัน นักลงทุนวิตกว่ายอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.0% หลังจากทรงตัวในเดือนก.ย.
ยอดค้าปลีกได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ส่วนการดีดตัวขึ้นของราคาน้ำมันเบนซินช่วยเพิ่มยอดขายของสถานีบริการน้ำมัน
ตลาดยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในวันนี้
ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้นักลงทุนวิตกว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน