กองทุนนอกเริ่มขาย ‘หุ้นจีน’ กูรูแนะทยอยเก็บ เชื่อกระทบสั้น
สถานการณ์การประท้วงต่อต้านนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนที่ดูจะรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มจะลุกลามออกไปในวงกว้างมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงร่วงหนัก กระทบกองทุน กูรูแนะทยอยเก็บ เชื่อกระทบสั้น
สถานการณ์การประท้วงต่อต้านนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนที่ดูจะรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มจะลุกลามออกไปในวงกว้างมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงในวานนี้ (28 พ.ย.) ร่วงหนักอยู่ที่ระดับ 17,297.94 จุด ลดลง 275.64 จุด หรือ -1.57% ขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตอยู่ที่ระดับ 3,078.55 จุด ลดลง 23.14 จุด หรือ -0.75% เนื่องจากถูกกดดันจากความกังวลดังกล่าว
การร่วงลงอย่างรุนแรงของดัชนีหุ้นจีน ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หนีไม่พ้นการตั้งคำถามจากผู้ลงทุนว่า เป็นช่วงเวลาที่จะเข้าสะสมหุ้นจีนเพิ่มได้หรือยัง
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด เปิดเผยกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ถึงสถานการณ์การประท้วงต่อต้านนโยบายซีโร่โควิดที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นว่า กรณีดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นจีนได้รับผลกระทบโดยตรง ขณะเดียวกันในภาคการท่องเที่ยวที่ไทยและทั่วโลกต่างคาดหวังการเปิดประเทศของจีนในปีหน้าช่วงไตรมาสแรก หรือเทศกาลตรุษจีน อาจจะต้องเริ่มถอดใจ เพราะยังคงต้องจับตาดูถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่คาดว่า อาจจะเพิ่มมากขึ้นและอาจส่งผลกระทบต่อการเปิดเมืองของจีนที่อาจต้องยืดไปอีกราว 1 - 2 ปี
“สถานการณ์ดังกล่าวกระทบกับการท่องเที่ยวไทยที่ตั้งความหวังกันไว้ว่า จะเห็นนักท่องเที่ยวจีน 40 ล้านคน ภายใน 2024 แต่ภาพนั้นน่าจะมีความเป็นไปได้น้อยลง เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับจีนในตอนนี้ เริ่มมีคำถามจากทั่วโลกว่า พัฒนาการจากนี้ไปจะไปต่ออย่างไร โดยเฉพาะทางด้านการเมืองของจีนที่ประชาชนต่างออกมาขับไล่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ให้ลาออก ดังนั้นภาพที่เกิดขึ้นเริ่มที่ขยายตัวไปสู่ในมุมการเมืองมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันต่างกำลังจับตาดูอยู่ว่าจะออกมาในรูปแบบใด”
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ดังกล่าว เชื่อว่ายังเป็นผลกระทบเพียงระยะสั้น ซึ่งยังต้องจับตาดูว่า รัฐบาลจีนจะสามารถควบคุมได้เหมือนในครั้งอดีตหรือไม่ จึงอยากแนะนำนักลงทุนที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีน ขณะนี้แม้จะมีวิกฤตภายในประเทศแต่ยังมองเป็นโอกาสที่จะเข้าไปทยอยเก็บสะสมได้ เนื่องจากราคาค่อนข้างถูก รวมถึงในดือนธันวาคมนี้ ธนาคารกลางจีนจะมีการประชุมมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจปรับลดอัตราดอกเบี้ย RRR หรือ การปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินกลับเข้ามาในระบบช่วยทำให้เกิดสภาพคล่องมากขึ้น และผลกระทบดังกล่าวน่าจะอยู่ในช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้น และมองว่าในช่วงไตรมาส 2/2566 ตลาดหุ้นจีนจะสามารถพลิกฟื้นกลับขึ้นมาได้
นายนธีร์ ใบเจริญ รองผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์การลงทุนและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทในเครือ บลจ.วรรณ กล่าวว่า สถานการณ์การประท้วงที่รุนแรงขึ้นในประเทศจีน อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นจีนอย่างเห็นได้ชัด หากย้อนกลับไปดูในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มี Fund Flow ไหลออกจากหุ้นกลุ่มเกรทเทอร์ ไชน่า (จีน ไต้หวัน และฮ่องกง) จากกองทุนรวมอีทีเอฟจากฝั่งสหรัฐฯ ที่มีการทยอยขายออก เมื่อเทียบกับ Fund Flow ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมามีเงินลงทุนไหลเข้ากว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
“สิ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนร่วงหนักมากจาก ZERO COVID-19 คนจีนเริ่มไม่พอใจและมีอัตราการว่างงาน ต้องการเร่งให้มีการฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันประชาชนไม่พอใจกับการที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ที่เมืองอุรุมชี และต้องการให้รัฐบาลเร่งเปิดเมือง พร้อมกับต้องการให้มีมาตรการในการผ่อนคลายโดยเร็วเป็นการบีบบังคับแบบกลาย ๆ ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไข อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวคาดว่า เป็นปัจจัยลบระยะสั้น ยังต้องติดตามสถานการณ์ว่าจะเกิดการลุกลามไปมากน้อยขนาดไหน”