4 หุ้น รพ. พร้อมชิงลูกค้าจีน เปิดบริการใหม่หนุนรายได้
กระแสนักท่องเที่ยว “จีนคัมแบ็คมาไทย” หลังผ่อนคลายมาตรการ Zero Covid จนทำให้สามารถกลับมาเปิดประเทศได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้คือ วันที่ 8 ม.ค.2566 นี้เป็นต้นไป
ทำให้ทุกธุรกิจที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับมือกับกระแสการกลับมาท่องเที่ยวในไทย รวมไปถึงการใช้บริการด้านต่างๆ ที่มีฐานจากคนจีน เช่น กลุ่มโรงพยาบาล
ตามตัวเลขการคาดการณ์ของ กระทรวงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มองว่าช่วงแรกการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) และด้วยข้อจำกัดของเที่ยวบินระหว่างกัน และมีจำนวนหนึ่งที่เดินทางเข้ามาผ่านทางบก เช่น เชียงแสน และ หนองคาย จากการเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง
เบื้องต้นจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 ราว 3 แสนคน แบ่งเป็น เดือน ม.ค. 60,000 คน ,ก.พ. ที่ 90,000 คน และมี.ค.ที่ 1.5 แสนคน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยทั้งปี 2565 ที่มีจำนวน 2.74 แสนคน
ทั้งนี้หลังจีนเปิดประเทศเต็มรูปแบบจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนไฟท์แรกตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. นี้เป็นเที่ยวบินที่มาจากเมืองเซี่ยะเหมิน จากเซี่ยเหมิน แอร์ไลน์ ประมาณ 289 คน และมีสัญญาณการเพิ่มเที่ยวบินแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะช่วงเทศกาลตรุษจีน
นอกจากนี้มาตรการรับมือนักท่องเที่ยวจีนในครั้งนี้ของไทยถือได้ว่าผ่อนคลายกว่าหลายประเทศด้วยการ “ไม่กักตัว - ไม่โซนนิ่ง” เน้นไปที่การได้รับการ “ฉีดวัคซีนโควิดครบ 2 เข็ม” และกำหนดให้มีการ “ซื้อประกันสุขภาพ” เพื่อดูแลค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นซึ่งมีอัตราราคาประกันสุขภาพที่จีนที่ 400 บาทต่อราย เนื่องจากเมื่อกลับประเทศจีนต้องมีผลตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 48 ชั่วโมง
เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศที่จีนสนใจเดินทางเข้าไปท่องเที่ยว เช่น ญี่ปุ่น กำหนดให้ผู้ที่เดินทางมาจากจีนต้องตรวจโควิดเมื่อถึงญี่ปุ่น หรือตรวจโควิดภายใน 7 วันหลังเดินทางมาญี่ปุ่น และหากมีผลตรวจเป็นบวกต้องกักตัวเป็นเวลา 7 วันตามสถานที่กำหนด
ประเทศ เกาหลีใต้ บังคับให้ตรวจโควิดสำหรับผู้นที่เดินทางมาจากจีนทั้งก่อนและหลัง ผู้เดินทางมาจากฮ่องกง มาเก๊า ต้องแสดงผลตรวจแบบ PCR เป็นลบมีผลตั้งแต่ 7 ม.ค.2566 ส่วนบางประเทศในยุโรปถึงขั้นปรับเกณฑ์สำหรับคนจีน โดย เยอรมนี ให้นักท่องเที่ยวจากจีนต้องตรวจโควิดแบบแรพพิด เทสต์ ก่อนที่จะเดินทางเข้าประเทศ การระหว่างเข้าเมืองจะมีการสุ่มตรวจนักท่องเที่ยวจากจีน และตรวจน้ำทิ้งจากเครื่องบินที่เดินทางมาอีกด้วย
ดังนั้นทำให้ ไทยกลายเป็นประเทศที่เปิดกว้าง "ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากจีนเต็มรูปแบบแลกกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการ” จากเม็ดเงินที่จีนใช้จองตั๋วเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในฐานตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นกลุ่มประเทศที่ใช้จ่ายเงินทั่วโลกมากถึง 255,000 ดอลลาร์ !!
ขณะที่ภาค ธุรกิจโรงพยาบาล ถือว่ารายใหญ่ที่พึ่งพิงตลาดจีนมีจำนวนไม่น้อย และเตรียม “ชิงโอกาส” ฐานลูกค้าจากคนจีนทันที โดย BCH มีฐานโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC) เดินหน้าในการผลักดันคลินิกพิเศษ อย่างศูนย์เวลเนส (Wellness Center) ศูนย์ศัลยกรรม รวมไปถึงขณะเดียวกันยังเดินหน้าผลักดันคลินิกเด็กหลอดแก้ว (IVF) ด้วย
คาดว่าจะมีลูกค้าอย่างลิเบีย รวมไปถึงจีนเข้ามาใช้บริการโรงพยาบาล เป็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่ม ส่วนศูนย์มะเร็งคาดว่าจะเปิดให้บริการปลายปี 2566 อย่างไรก็ดีทางกลุ่มโรงพยาบาลยังเดินหน้าในการขยายโรงพยาบาลต่อเนื่อง ทั้งการก่อสร้างโรงพยาบาลเอง และมองโอกาสในการซื้อกิจการ ตั้งเป้า 5 ปี จะมีโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเป็น 20 แห่ง จากปัจจุบันที่ประมาณ 15 แห่ง ทั้งนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมเรื่องที่ดิน
ด้านโรงพยาบาล EKH ลูกค้าชาวจีนที่จะกลับมาใช้บริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) ซึ่งจะทำให้จำนวนลูกค้า IVF เพิ่มขึ้น และช่วยสนับสนุนให้การเติบโตรายได้ และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปี 2566 บริษัทตั้งเป้าลูกค้ามาใช้บริการจำนวน 300 คู่ จากปี 2565 มีลูกค้าใช้บริการ 100 คู่
หรือรายใหญ่ BDMS ภายใต้ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) จับมือกับทาง Minor Hotels ซึ่งมีความชำนาญด้านธุรกิจโรงแรมและการบริการ โดยมีโรงแรมในเครือทั้งสิ้นมากกว่า 535 แห่ง ซึ่งมีจำนวนห้องพักรวมมากกว่า 75,000 ห้อง เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ก่อนหน้านี้ได้ร่วมกับ "PING AN HEALTH" จากประเทศจีนประกาศดูแลรักษาที่หลากหลายครอบคลุมความต้องการ รวมถึงบริการสุขภาพในด้านต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับกลุ่มลูกค้า PING AN HEALTH ในจีน เช่น โปรแกรมตรวจคัดกรองและการรักษาโรคมะเร็ง การรักษาด้านศัลยกรรมกระดูก การผ่าตัดเปลี่ยนสะโพกและการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า การรักษาโรคหัวใจ และระบบประสาท เป็นต้น
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เมย์แบงก์ วิเคราะห์จากผลที่คนไทยได้รับวัคซีนถ้วนหน้าแล้ว ในปี 2565ร ายได้โควิดสำหรับโรงพยาบาลจะลดลง ทำให้กำไรของ BCHและ CHG ลดลงอย่างมีนัยสำคัญที่สุด อย่างไรก็ดีสำหรับ BH และ BDMS (รายได้ 67% และ 30% ของสัดส่วน) กำไรเพิ่มขึ้นจากการที่ผู้ป่วยต่างชาติกลับเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศ
สำหรับแนวโน้มคาดว่ารายได้โควิดจะหายไปในปี 2566 เนื่องจาก1. ผู้ป่วยน้อยลง และ 2. การรักษาตัวที่บ้าน ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล ซึ่งคาดว่าผู้ป่วยต่างชาติที่กลับเข้ามาอย่างรวดเร็วหลังจากโควิดอาจจะหายไปภายในครึ่งปีแรกของ 2566 และอาจจะกระทบกับ BH มากที่สุด เนื่องจากรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติในไตรมาส 3/2565 ได้สูงกว่าก่อน ไตรมาส 3 ปี 2562 ไปแล้ว 24% ส่วน BDMS ในไตรมาสเดียวกันยังต่ำกว่าไตรมาส 2/2562 อยู่ 10% และดังนั้นยังสามารถโต (YoY) ในปี 2566
สำหรับการคาดรายได้โควิดจะหายไปในปี 2566 ดังนั้นกำไรหลักของ BCH และ CHG จะลดลง 38% และ 53% ตามลำดับ สำหรับ BH เราคาดว่ากำไรจะลดลง 14.1% มีเพียง BDMS เท่านั้นที่จะมีกำไรเพิ่ม 0.8% ในปี 2566 สำหรับ MEGA คาดว่ายอดขายจะเพิ่ม 4.7% และกำไรเพิ่ม 2% จากการเติบโตของสินค้าแบรนด์ การเลือกหุ้นเด่นคือ CHG ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท และMEGA ราคาเป้าหมาย 66.50 บาท
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์