โบรกชีั “หุ้นไทย” พุ่ง รับนักท่องเที่ยวจีน-จ้างงานสหรัฐชะลอ
“หุ้นไทย” วานนี้ (9 ม.ค.) ปรับตัวคึกคักตลอดวันพุ่งเฉียด 19.56 จุด “ต่างชาติซื้อสุทธิ” 4.3 พันล้าน อานิสงส์จีนเปิดประเทศ-ตัวเลขจ้างงานชะลอ ทั้งยังได้แรงหนุนจาก “แจนยัวรี่เอฟเฟ็ก” ฟาก “บล.เอเซียพลัส” ชี้ไทยได้ผลบวกจากนักท่องเที่ยวจีน-คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยไม่แรง
วานนี้ (9 ม.ค.2566) บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นคึกคักตลอดทั้งวัน โดยปรับตัวขึ้นมาสูงสุดของวันอยู่ที่ 19.56 จุด หรือ 1,693.42 จุด ก่อนเคลื่อนไหวมาปิดตลาดอยู่ที่ 1,691.12 จุด เพิ่มขึ้น 17.26 จุด หรือ 1.03% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) 78,508.44 ล้านบาท ซึ่งการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่จีนเปิดประเทศเมื่อวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินเข้าไทยเพิ่มากขึ้น และสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวไม่รุนแรง หลังตัวเลขการจ้างงานลดลง ขณะเดียวกันอาจเป็นผลจากปรากฎการณ์ January effect อีกด้วย โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 4,337.19 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นวานนี้อย่างต่อเนื่อง มาจากกระแสตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากการจ้างงานของสหรัฐชะลอตัวลง ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อมองว่าได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ถือเป็นประเด็นที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทย และอีกปัจจัยจะเป็นการที่จีนเปิดประเทศ ส่งผลคาดจะทำให้นักท่องเที่ยวเข้าไทยจำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่มีปัจจัยเสี่ยงข้างหน้าคงต้องติดตามอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ถือว่า เป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด ที่ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด รวมถึงประเด็นของภาษีหุ้นที่ยังรออยู่ข้างหน้าที่ยังต้องต้องเฝ้าติดตามอยู่เช่นกันเพราะเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร ฉะนั้นมองว่า โมเมนตัมมีเข้ามาก็จริง แต่การที่ SET จะผ่านทะลุ 1,700 จุด คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะยังคงต้องระวังแรงขายทำกำไรแถว ๆ บริเวณแนว 1,700 จุด เช่นกัน
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนว่า ควรวางจุดนักลงทุนคงต้องมีการวางจุด Stop Profit ไว้ให้ชัดเจน เพื่อที่จะได้ล็อกทำกำไรให้ได้มากที่สุด เพราะตลาดขณะนี้ถือว่าทำกำไรได้ ซึ่งถ้าจะทำกำไรได้นั้นไม่ควรจะเปลี่ยนกำไรที่มีให้เป็นขาดทุนถ้าตลาดมีการปรับตัวย่อลงมา เพราะฉะนั้นเทคนิคการใช้ Stop Profit น่าจะเป็นตัวที่ทำประโยชน์ได้ดีในช่วงเวลาแบบนี้
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักตลอดทั้งวันด้วย 2 ปัจจัยบวกหลักๆ คือ 1.ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐปรับตัวลงรับ Sentiment เชิงบวกหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (Bond Yield) ย่อตัวลงจากตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงของสหรัฐชะลอตัวลง ก็มองว่าเงินเฟ้อสหรัฐชะลอตัวและทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอขึ้นดอกเบี้ย จะเห็นว่ากลุ่มที่รับประโยชน์จาก Bond Yield อ่อนตัวได้แก่ กลุ่มไฟแนนซ์ ปรับตัวขึ้นได้ดี
และ 2. ปัจจัยบวกจากจีนเปิดประเทศเมื่อวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยมีการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวไทยเพิ่มมากขึ้น หลังทางการจีนเปิดประเทศอย่างเป็นทางการก็ยังเป็น Sentiment บวกต่อ แต่ราคากลุ่มท่องเที่ยว สายการบินตอบรับไปแล้ว แม้ว่าปัจจุบันจะยังมีความไม่ชัดเจนถึงมาตรการต่างๆ จะออกมาเป็นแบบไหน จะต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือ ต้องตรวจโควิด-19 ก่อน แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนไปก่อนแล้ว
“บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยในวานนี้เป็นบวก จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการชะลอตัวในภาคการผลิต และตัวเลขฝั่งกำลังซื้อ เช่น ค่าจ้าง และการจ้างงานนอกภาคเกษตรดีขึ้น ประกอบกับตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามาในประเทศเร็วกว่าที่ตลาดคาด จากไตรมาสที่ 3 หรือไตรมาส 4 เป็นไตรมาส 1 ของปีนี้”
ทั้งนี้ นักลงทุนมองไปข้างหน้าหลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัว การจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น นักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่มมากขึ้น ประเด็นดังกล่าวส่งผลให้แนวโน้มมีกำลังชำระหนี้ได้ดีขึ้น ดังนั้น หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL อาจจะชะลอตัว จากเดิมคาดว่าจะมีการตั้งสำรองหนี้เสียในไตรมาส 1 สูง
โดยคาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะยังบวกต่อเนื่องจากปัจจัยเรื่องตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ย่อตัวลง และปัจจัยจากการประกาศผลประกอบการของธนาคารพาณิชสัปดาห์หน้าที่อาจไม่ได้ดีมาก แต่อยู่ในความคาดการณ์ของตลาด
สำหรับคำแนะนำในการลงทุนระยะสั้น ควรพิจารณาธุรกิจกลุ่มที่ได้ผลกระทบในเชิงบวกจากการเปิดเมืองอื่นๆ ที่ยังโตน้อยอยู่ เช่น MINT, VERANDA, และ MAJOR รวมทั้งกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์ทั้งจาก ต้นทุนพลังงานที่ลดลง และเงินบาทแข็งค่า เช่น กลุ่มปิโตเคมี บรรจุภัณฑ์ และโรงไฟฟ้า
สำหรับ แนวโน้มการลงทุนคาดว่าครึ่งแรกปี 2566 หุ้นไทยจะได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่ได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยว โดยในระยะสั้นให้กรอบดัชนีฯ อยู่ที่ 1,700 จุด และคาดระยะถัดไปมีโอกาสที่ดัชนีแตะ 1,790 จุด