สัญญาณ “เลือกตั้ง” กระหน่ำ เตรียมพร้อม 6 กลุ่มใหญ่รับอานิสงส์
กลิ่นอายบรรยากาศ “การเลือกตั้ง” ส่อเค้าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด หลังนายกรัฐมนตรีตัดสินใจเปิดตัวลงสมัครพรรคการเมือง เท่ากับเป็นการประกาศนับถอยหลังเข้าสู่เกมการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งทำให้มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเช่นกัน
บิ๊กอีเวนต์ใหญ่ ทางการเมืองเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ม.ค.2566 นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดตัวเป็นหนึ่งในผู้สมัครในนาม พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ภายใต้งาน "รวมใจ รวมไทยสร้างชาติ"
โดยภายในงานแสดงจุดยืนของพรรคด้วยการให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แม้จะยังไม่มีการดำรงตำแหน่งสำคัญใดๆ เป็นเพียงการสมัครสมาชิกพรรคเท่านั้น เพราะยังไม่กำหนดเวลาเลือกตั้ง แต่เพียงแค่นี้ก็เป็นการลั่นกลองที่นำไปสู่การเลือกตั้งปี 2566 ได้กลายๆ
ช่วงเวลาดังกล่าวเกิดปรากฏการณ์โยกย้ายพรรคการเมืองกันอย่างคึกคัก รวมไปถึงพรรค รทสช. ที่ได้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมัครเป็นสมาชิกพรรค นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน อดีต ส.ส.ชลบุรี หรือ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่มีสัญญาณมาซบพรรคเหมือนกัน
สอดคล้องกับไทม์ไลน์อายุของรัฐสภาที่จะครบวาระสภาผู้แทนราษฎร 23 มี.ค.2566 จึงทำให้มองว่ามีทางเลือกที่จะเกิดการ “ยุบสภาก่อน”เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมืองในเรื่องการดึงตัวผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง จากเงื่อนไขเวลาสังกัดพรรคก่อนการเลือกตั้ง เพราะหากอยู่ครบวาระนักการเมืองต้องสังกัดพรรคให้ครบ 90 วันก่อนการเลือกตั้ง แต่หากยุบสภาจะสามารถย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ได้ก่อนการเลือกตั้งเพียง 30 วันเท่านั้น
หากเป็นตามที่คอการเมืองคาดการณ์ไว้มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรง บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน นายกรัฐมนตรี เปิดตัวลงสมัครรับเลือกตั้งในพรรครวมไทยสร้างชาติ ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ส.ส. เริ่มเห็นสัญญาณการลาออกเพิ่มขึ้น หลังมีการเปิดตัวพรรคการเมืองต่างๆ ทำให้เสียงรัฐบาลอาจเปลี่ยนไป และมีผลเสียงข้างมาก ซึ่งอาจนำมาสู่การยุบสภาก่อนรัฐบาลครบวาระสิ้นสุด 24 มี.ค.
เข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดสมัยสภาติดตามท่าทีนายกรัฐมนตรีถึงแนวทางนำไปสู่การเลือกตั้งรอบใหม่ระหว่างการเลือกยุบสภาก่อนหรืออยู่จนครบสมัย ทั้งนี้ภายใต้การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กติกาเลือกตั้งผ่านการพิจารณาร่วมกัน เชื่อว่าจะมี ElectionRally เหมือนช่วงที่ตลาดเชื่อมั่นครั้งก่อนๆ
SET จะให้ผลตอบแทนราว 9-14% ขณะที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3%+/- ก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน และกระแสการหาเสียงพรรคการเมืองต่างๆ ที่คาดเน้นไปที่ค่าแรงขั้นต่ำ รายได้เกษตรกร การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะหนุนหุ้นธีม Consumer,Farm Income, นิคม และรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงหุ้นที่มีผู้ถือหุ้นเกี่ยวโยงกลุ่มการเมืองที่มีคะแนนนิยมสูงก่อนเลือกตั้ง
บล.หยวนต้า วิเคราะห์ตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทั้ง 2 ฉบับไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ทำให้บรรยากาศการเมืองไทยเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งทันที ซึ่งหนุนให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเข้าสู่โหมด Election Rally ด้วยเช่นกัน โดย เมื่อพิจารณาข้อมูลทางสถิติ พบว่าตลาดหุ้นไทยจะ Outperform ภูมิภาคได้ดีที่สุดในช่วงก่อนเลือกตั้ง 2 สัปดาห์และหลังเลือกตั้ง 1 เดือน
กลุ่มที่มักปรับตัวขึ้นได้ดี คือ ธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง รวมถึงกลุ่ม อาหารเครื่องดื่มและไฟแนนซ์ที่แม้ไม่มีความสัมพันธ์เชิงสถิติ แต่การแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ที่รุนแรง ทำให้คาดว่าจะได้แรงหนุนจากการบริโภคที่เร่งตัวขึ้นตามไปด้วย หุ้นเด่น คือ BBL, KBANK, CPALL, BJC, MAKRO, DOHOME, LH, ORI, SC, CK, PYLON, TIDLOR, M
บล.เอเอสแอล พบว่าสถิติช่วง 6 เดือน ก่อนเลือกตั้งจะมีเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในตลาดหุ้นหนุนดัชนีปรับขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่จะมีแรงเก็งกำไรในหุ้นกระแสการเมืองในประเทศ จึงเป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้นล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้ง 6 เดือน เราแนะนำสะสมกลุ่ม PreElection Rally เราชอบ KBANK SIRI CK EA TKS
ด้าน บล.ไอร่า สัญญาณเชิงบวกถึงแนวโน้มการเลือกตั้งใหญ่ของไทย ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน มี.ค.- พ.ค.’66 เป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย รวมทั้งยังมีมุมมองเชิงบวก ต่อการที่ ครม. อนุมัติวงเงิน 6.25 พันล้านบาท สำหรับเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมกว่า 1 ล้านครัวเรือน
ปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (HMPRO, GLOBAL และ DOHOME) รวมทั้งคาดเป็นแรงหนุนต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, CRC, MAKRO และ BJC) ได้ต่อ โดยยังคาดว่า ครม. คาดอาจมีการออกมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจในช่วงปลายปีต่อได้
รวมทั้งยังชอบหุ้นในกลุ่มโฆษณา (PLANB และ VGI) ที่คาดผลประกอบการผ่านจุด ต่ำสุดไปแล้ว และฟื้นตัวขึ้นโดดเด่นตั้งแต่ช่วง ไตรมาส 3/2565 คาดจะหนุนทิศทางราคาฟื้นตัวกลับขึ้นได้ต่อ และหุ้นในกลุ่ม บริการสถานีน้ำมัน (BCP, OR และ PTG) คาดจะสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นได้อีกครั้ง ตามการเข้าสู่ช่วงวันหยุดใน เทศกาลปีใหม่ หนุนการเดินทางมากขึ้น เป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางหุ้นในกลุ่มดังกล่าว