ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 216 จุด ขานรับดัชนี CPI
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(12ม.ค.)พุ่งขึ้น 216 จุด ขานรับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 216.96 จุด หรือ 0.64% ปิดที่ 34,189.97 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 13.56 จุด หรือ 0.64% ปิดที่ 3,983.17 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 69.43 จุด หรือ 0.64% ปิดที่ 11,001.10 จุด
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงขณะเปิดตลาด ท่ามกลางความกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัว
แต่ดัชนีดาวโจนส์ก็ดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา ขณะที่นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในเดือนก.พ. หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันนี้
นักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 90% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. หลังจากที่ก่อนหน้านี้ให้น้ำหนัก 76.7%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนธ.ค.ในวันนี้ โดยตัวเลข CPI ทุกรายการสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ทั้งนี้ ดัชนี CPI ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 6.5% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และเป็นการปรับตัวขึ้นน้อยที่สุดเมื่อเทียบรายปี นับตั้งแต่เดือนต.ค.2564
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ทั่วไปปรับตัวลง 0.1% ในเดือนธ.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เช่นกัน และเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดเมื่อเทียบรายเดือน นับตั้งแต่เดือนเม.ย.2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 5.7% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์
ด้านนักวิเคราะห์ระบุว่า เฟดจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวในคืนนี้ เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อเมื่อเทียบรายปียังคงอยู่ในระดับสูง
"เรายินดีต้อนรับตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัว ซึ่งถือเป็นข่าวดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอ" นางไดแอน สวองค์ หัวหน้านักวิเคราะห์จาก KPMG กล่าว
"เฟดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการเกิดวิกฤตห่วงโซ่อุปทานรอบสอง โดยอาจเกิดจากจีนหรือรัสเซีย ทำให้เฟดยังไม่ต้องการประกาศชัยชนะเร็วเกินไป ซึ่งเฟดได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว ขณะที่เฟดมีมุมมองแตกต่างจากตลาด โดยมองว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้" นางสวองค์กล่าว
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ ได้แก่ เจพีมอร์แกน, ซิตี้กรุ๊ป, แบงก์ ออฟ อเมริกา และเวลส์ ฟาร์โก