“หุ้นไทย” ปิดตลาดบวก 10.94 จุด รับนายกประกาศจะยุบสภาฯ
“ตลาดหุ้นไทย” ปิดตลาดวันนี้อยู่ที่ 1,668.63 จุด เพิ่มขึ้น 10.94 จุด หรือ 0.66% “บล.กสิกรไทย” ชี้ ตลาดหุ้นไทยปิดแดนบวกตอบรับนายกฯ ประกาศยุบสภาฯ คาดพรุ่งนี้แกว่ง Sideway แนวรับ 1,650 จุด ส่วนแนวต้าน 1,666 จุด
ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาด “หุ้นไทย” วันนี้ผันผวนตลอดทั้งวันโดยในช่วงเช้าอยู่ในแดนลบก่อนมาปิดตลาดบวกช่วงบ่าย ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,669.51 จุด และต่ำสุดอยู่ที่ 1,652.25 จุด ก่อนมาปิดตลาดที่ 1,668.63 จุด เพิ่มขึ้น 10.94 จุด หรือ 0.66% มูลค่าซื้อขาย 66,040.26 ล้านบาท
หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่
1. KBANK มูลค่า 6,383.65 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 139.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 หรือ 0.36%
2. EA มูลค่า 4,322.64 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 81.25 บาท ลดลง 1.75 หรือ 2.11%
3. SCB มูลค่า 2,889.28 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 100.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลงไปจากราคาปิดก่อนหน้า
4. CPALL มูลค่า 2,638.70 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 65.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 หรือ 1.95%
5. CHASE มูลค่า 1,818.60 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 3 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 หรือ 3.45%
นายสุนทร ทองทิพย์ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตอบรับข่าวที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศช่วงเวลายุบสภาเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นไทยปิดบวกสวนทางกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ย่อตัวลง
ทั้งนี้ จากสถิติหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้นประมาณ 3%-5% ก่อนเลือกตั้งประมาณ 2-3 เดือน และบวกต่ออีกประมาณ 3% หลังเลือกตั้ง
“หากพิจารณาจากแนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะมีมาตรการช่วงท้ายของคณะรัฐมนตรี และช่วงเลือกตั้งก็จะมีเม็ดเงินที่ไหลเข้าระบบอีกจำนวนมาก ผมว่าที่ผ่านมาตลาดก็แกว่งรอปัจจัยเรื่องยุบสภาเลือกตั้งนี่แหละ"
มากไปกว่านั้น สำหรับประเด็นที่หน้าหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลดลงเกือบทั้งกระดานในช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสุนทร วิเคราะห์ว่า หากพิจารณาลูกหนี้ที่อยู่ในความช่วงเหลือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะอยู่ที่ 33 ล้านล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวมีอยู่ 2.5 แสนล้านบาทที่เป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Load) 6.5 หมื่นล้านบาทเป็นโครงการพักทรัพย์พักหนี้ (Asset Warehousing) ที่เหลือประมาณ 3 ล้านล้านบาทเป็นมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว
“ตลาดไปตีความว่าการที่แบงก์ชาติกำลังศึกษาว่าจะขยายเวลาโครงการ Soft Load และ Asset Warehousing ที่จะหมดลงเดือนเม.ย.ที่จะถึงนี้ ตลาดไม่ค่อยชอบเพราะว่า คนเริ่มไม่แน่ใจว่าลูกหนี้ต้องการความช่วยเหลือต่อหรือไม่ บ้างมองว่าหนี้เสียยังไม่ได้รับการแก้ไข คนจึงไปตีความว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต้องขายหุ้นแบงก์ออกมา เพราะช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตัวเลขก็อ่านไม่ได้เลย เพราะว่ามีมาตรการของแบงก์ชาติอยู่ เขากลัวว่าลูกหนี้ยังมีปัญหาอยู่”
“อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้ว ท่องเที่ยวเพิ่งจะกลับมาช่วงไม่กี่เดือน หลายๆ แห่งอยากจะขอสินเชื่อเพิ่มแต่แบงก์ก็ไม่ปล่อย ได้แต่ลูกหนี้ที่อยากจะซื้อบ้าน แต่ก็ทำงานกับบริษัทที่ขาดทุนยังไม่มีกำไร แบงก์ก็ปล่อยสินเชื่อยากมาก ส่วนตัวผมมองว่าปัญหาหนี้เสีย หรือ NPL ใกล้แตะจุดสูงสุดแล้ว หรืออาจพักฐานไปแล้วก็ได้ เพียงแต่ว่า ตอนนี้ภาพนี้มันยังดูคลุมเครือหน่อยๆ อยากไรก็ดี ผมเชื่อว่าภายในสามเดือนสถานการณ์จะดีขึ้น”
“บางคนอาจจะกลัวถึงขั้นว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีที่แล้วลบแบบไตรมาสต่อไตรมาส บางคนก็บอกไตรมาส 1 จะลบด้วย ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย เพราะผมยังเชื่อว่าภาคท่องเที่ยวโตได้ดีเหนือตัวเลขส่งออกที่ชะลอ”
ทั้งนี้ นายสุนทร มองว่ากลุ่มธนาคารที่ถูกขายวันนี้อาจเป็นโอกาสในการเข้าสะสม เพราะหากพิจารณาจากประสิทธิภาพช่วงก่อนเลือกตั้ง กลุ่มที่ outperform ตลาดอย่างมากคือกลุ่มแบงก์และไฟแนนซ์
สำหรับวันพรุ่งนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจแกว่งลักษณะ sideway ด้วยแนวรับ 1,650 จุด ส่วนแนวต้าน 1,666 จุด ด้วยปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไปคือสุนทรพจน์คืนนี้ของวลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิปดีรัสเซีย ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของยุโรปและแถบอเมริกัน รวมทั้งปัจจัยต่อเนื่องจากวันนี้
สำหรับคำแนะนำในการลงทุนควรใช้กลยุทธ์เข้าสะสมหุ้นเพราะช่วงนี้ตลาดอยู่ในช่วงพักฐาน โดยแนะนำกลุ่มที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภายในประเทศ กลุ่มธนาคารอย่างที่กล่าวไป และกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น