“หุ้นไทย” ปิดตลาดลบ 9.15 จุด ตลาดรับแรงกดดันจากดัชนี PMI สหรัฐพุ่งสูงขึ้น
“ตลาดหุ้นไทย” ปิดตลาดวันนี้อยู่ที่ 1,659.48 จุด ลดลง 9.15 จุด หรือ 0.55% “บล. เมย์แบงก์” ชี้ ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากการที่ดัชนี PMI ซึ่งเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐขยับขึ้นอย่างร้อนแรง คาดพรุ่งนี้แกว่งตัว Sideway ออกข้าง แนวรับ 1,650 จุด ส่วนแนวต้าน 1,670 จุด
ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาด “หุ้นไทย” วันนี้ผันผวนในทิศทางปรับตัวลดลงตลอดทั้งวัน ซึ่งดัชนีทำจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,656.50 จุด ก่อนมาปิดตลาดที่ 1,659.48 จุด ลดลง 9.15 จุด หรือ 0.55% มูลค่าซื้อขาย 55,084.34 ล้านบาท
หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่
1. KBANK มูลค่า 3,440.22 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 136.50 บาท ลดลง 3.00 หรือ 2.15%
2. CPALL มูลค่า 2,759.11 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 66.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 หรือ 1.53%
3. SINGER มูลค่า 2,026.21 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 22.60 บาท เพิ่มขึ้น 1.60 หรือ 7.62%
4. PTTEP มูลค่า 1,530.48 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 156 บาท ลดลง 3.50 หรือ 2.19%
5. KTB มูลค่า 1,304.94 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 17.30 บาท ลดลง 0.20 หรือ1.14%
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส และนักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ค่อยๆ ชะลอตัวลงมา โดยภาพรวมระยะสั้นตลาดยังกังวลเรื่องการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ในระยะสั้นตัวเลขเศรษฐกิจของอเมริกายังอยู่ในโซนที่ค่อนข้างร้อนแรง จากการที่ดัชนี PMI ซึ่งเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจขยับขึ้นมาด้วยความเร่ง
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวในภาคการผลิตขยับขึ้นมาที่ 47.8 จุดและภาคบริการขึ้นมาที่ 50.5 จุดจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ 46.8 จุด ทั้งหมดสะท้อนว่าสัญญาณภาคบริการของอเมริกากลับขึ้นมาค่อนข้างเร็ว และทั่วโลกภาคบริการก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกัน
“ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจที่แอบกลับมาร้อนแรงมากกว่าคาดก็ยิ่งส่งผลให้สัญญาณของตลาดฝั่งอเมริกามีความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น และภาพรวมดอกเบี้ยที่เร่งตัวขึ้นมากๆ ก็สะท้อนออกมาในฝั่งค่าเงิน และฝั่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) อย่างไรก็ตาม ตัวเลขขึ้นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าขึ้นมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ก็อาจเป็นปัจจัยที่ตลาดไม่ค่อยชอบ”"
“จะเห็นว่าตอนนี้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ก็ปรับตัวทะลุ 104.2 จุดแล้ว เป็นภาพของการค่อยๆ Sideway Up ขึ้นมา หลังจากแกว่งตัวในโซน 103-104 จุดสักระยะหนึ่ง ซึ่งในทางกลับกันค่าเงินบาทก็อ่อนลงเรื่อยๆ ตอนนี้แตะ 34.6 บาท นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ภาพรวมการลงทุนในระยะสั้นของบ้านเราก็ยังโดนปัจจัยเหล่านี้กดดันอยู่”
ทั้งนี้ นายวิจิตร วิเคราะห์ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงตอบรับข่าวร้ายมาตั้งแต่ช่วงต้นก.พ. จากเดิมอยู่ในโซน 1,700 จุด ก็หลุดมาที่ 1,600 จุด ดังนั้นวันพรุ่งนี้ (23 ก.พ.) ดัชนีฯ อาจแกว่ง Sideway ออกข้าง รอปัจจัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนของนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด รวมทั้งประกาศตัวเลข PCE ดัชนีบ่งบอกเงินเฟ้อวันศุกร์นี้ โดยตัวเลขดังกล่าวจะเป็นตัวชี้วัดหลักว่าท้ายที่สุดสัญญาณเรื่องอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเฟดเดือนมี.ค.จะนิ่งมากน้องเพียงใด โดยคาดแนวรับ 1,650 จุด ส่วนแนวต้าน 1,670 จุด
สำหรับคำแนะนำในการลงทุนวันพรุ่งนี้ ควรเน้นหน้าหุ้นที่พื้นฐานดี และมีแนวโน้มกำไรไตรมาส 4 งาม แนะนำกลุ่มสื่อนอกบ้านคือ PLANB โดยกำไรปี 66 มีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1 พันล้านบาท