ดาวโจนส์ร่วง 345 จุด ถูกกดดันจากข่าวรัฐบาลสหรัฐประกาศปิดกิจการ SVB

ดาวโจนส์ร่วง 345 จุด ถูกกดดันจากข่าวรัฐบาลสหรัฐประกาศปิดกิจการ SVB

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันศุกร์ (10มี.ค.)ปรับตัวร่วงลง 345.22 จุด หลังจากกระทรวงปกป้องการเงินและนวัตกรรมแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศปิดกิจการ SVB พร้อมกับมอบหมายให้บรรษัทค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) เป็นผู้ดูแลเงินฝากของ SVB

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วงลง 345.22 จุด หรือ 1.07% ปิดที่ 31,909.64 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วง 1.45%  ปิดที่  3,861.59 จุด ดัชนีแนสแด็ก ลบ  1.76% ปิดที่ 11,138.89 จุด

ทั้งนี้ FDIC ได้จัดตั้ง Deposit Insurance National Bank of Santa Clara (DINB) และได้โอนเงินฝากทั้งหมดจาก SVB ที่ได้รับการค้ำประกันเข้าสู่ DINB เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ฝากเงิน

การร่วงลงของดัชนีดาวโจนส์วันนี้ เพราะถูกกดดันจากข่าวปิดกิจการ SVB  ซึ่ง FDIC เปิดเผยว่า เจ้าของเงินฝากจะสามารถเข้าถึงเงินฝากของตนเองได้ภายในช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 13 มี.ค. ซึ่งสาขาต่างๆ ของ SVB จะเปิดทำการ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของ FDIC
 อย่างไรก็ดี กฎระเบียบของ FDIC ให้การคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 250,000 ดอลลาร์ต่อผู้ฝาก 1 ราย ต่อ 1 ธนาคาร

 

 

ข้อมูล ณ สิ้นเดือนธ.ค.2565 ระบุว่า SVB มีสินทรัพย์ทั้งหมดราว 2.09 แสนล้านดอลลาร์ และมีเงินฝาก 1.754 แสนล้านดอลลาร์

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวระบุว่า SVB Financial Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Silicon Valley Bank (SVB) ธนาคารปล่อยกู้แก่ธุรกิจสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยี กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อขายกิจการ หลังจากประสบความล้มเหลวในการขายหุ้นเพื่อเพิ่มทุนธนาคาร

ราคาหุ้น SVB ร่วงลง 45.61% สู่ระดับ 57.68 ดอลลาร์ก่อนเปิดตลาดวันนี้ หลังจากปิดตลาดวานนี้ทรุดตัวลง 60.41% สู่ระดับ 106.04 ดอลลาร์

 

 

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 311,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 225,000 ตำแหน่ง แต่ชะลอตัวจากระดับ 504,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค.

ส่วนอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.6% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.4%

ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.4% และเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.8%

ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ