JASIF เสี่ยงหนักปันผลลด - ค่าเช่าวูบ ทางเลือก (ไม่มาก) ผู้ถือหน่วย

JASIF เสี่ยงหนักปันผลลด - ค่าเช่าวูบ  ทางเลือก (ไม่มาก) ผู้ถือหน่วย

“ความไม่ชัดเจน” และ “คลุมเครือ” เป็นคำที่นักลงทุนมักไม่ชอบ และทำให้มุมมองการลงทุนเปลี่ยนแปลงได้เหมือนที่เกิดขึ้นกับ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF

ด้วยช่วงวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา บริษัท ทริปเปิลทีบรอดแบนด์  หรือ TTTBB ของกลุ่ม จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS  ได้ทำหนังสือถึง JASIF  ถึงปัญหาในการ "จ่ายเงินค่าเช่าให้กับกองทุนได้เพียงบางส่วน" จากวันที่ต้องครบกำหนดชำระค่าเช่า 15 มี.ค.2566

โดยระบุจะชำระเงินที่เหลือภายใน 5 วัน นับจากวันที่ครบกำหนดชำระเงิน พร้อมแจ้งสาเหตุดังกล่าวมาจากสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดบรอดแบนด์ ต้นทุนการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อกระแสเงินสดไม่เพียงพอที่จะชำระค่าเช่าให้กับ JASIF ได้ครบจำนวนตามสัญญาเช่าหรือภายในกำหนดชำระ

ภายหลังวันที่ 23 มี.ค. ทาง JASIF  ระบุยอดค้างชำระบางส่วนที่ TTTBB ต้องจ่ายไม่เกิน 43 ล้านบาท ซึ่งตามเงื่อนไขสามารถชำระค่าเช่าล่าช้าได้ไม่เกิน 15 วัน นับจากวันครบกำหนดชำระ (Due date) ซึ่งจะครบกำหนด ในวันที่ 30 มี.ค.โดยในระหว่างนี้ 3BB จะต้องเสียค่าปรับในอัตรา 7.50 %  ต่อปีจนกว่าจะชำระค่าเช่าครบถ้วน

จนวันที่ 27 มี.ค. จึงมีการรายงาน JASIF  ได้รับค่าเช่ารายเดือนครบถ้วนเต็มจำนวน พร้อมค่าปรับ TTTBB  และยังไม่มีการปรับค่าเช่าหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างค่าเช่าของกองทุนจนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหน่วยลงทุนเท่านั้น

ประเด็นดังกล่าวกระทบราคาหน่วยลงทุนของ JASIF โดยตรง  และยังมีผลไปถึงความสามารถในการจ่ายค่าเช่าในระยะถัดไปจะเผชิญ  “เงินขาดมือ” “กระแสเงินสดไม่เพียงพอ” อีกหรือไม่เพราะสัญญาณการจ่ายค่าเช่าย่อมสะท้อนไปยังธุรกิจ JAS  ตามไปด้วย

รายได้ของ JAS ในปี 2565 อยู่ที่  20,286 ล้านบาท  ขาดทุน  2,028 ล้านบาท เป็นการขาดทุน 3 ปีติดต่อกัน และรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และอินเทอร์เน็ตทีวีที่ 98% ของรายได้ !!!

ส่วน JASIF  เป็นการเข้าซื้อสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ จาก TTTBB  และมี JAS ถือหน่วยลงทุนที่ 19%   ปีล่าสุด  2565 ประกาศจ่ายปันผลรวม 0.92 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 11.80% ท่ามกลางราคา JASIF ที่ปรับตัวลดลงสิ้นปี 2565 อยู่ที่  8.05 บาท

สถานการณ์ดังกล่าวจึงเป็นลบต่อการลงทุนใน JASIF  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)  ถือ JASIF ไม่ว่ามีอยู่ที่ทุนเท่าไร ก็อาจต้องตัดใจ เมื่อคิดในมุมผลตอบแทนและความเสี่ยง  เพราะ 1.ปันผลปีก่อน 0.92 บาท สมมติจ่ายเท่าเดิมไปได้อีก 8 ปี ก็แค่ 7.36 บาท มากกว่าราคาปัจจุบันไม่เยอะ 2. มีโอกาสที่จะได้ปันผลน้อยกว่านั้นเพราะ TTTBB มีปัญหาการแข่งขัน ทำให้ในอนาคต อาจต้องลดค่าเช่า ส่งผลให้ปันผลของ JASIF ลดตาม

3.การเข้าซื้อ TTTBB ของ ADVANC S อาจไม่ได้ช่วยอะไร JASIF มาก เพราะการไปสร้าง network เองอาจถูกกว่ามาเช่า JASIF (เป็นไปได้ที่อาจตั้งบริษัทใหม่ แล้วย้ายลูกค้า TTTBB ไปที่บริษัทใหม่) และ 4 .ประเมินว่า ADVANC  ไม่ได้อยากซื้อ JASIF (น่าจะอยากซื้อแค่ TTTBB) แต่เชื่อว่าคนขายให้เงื่อนไขในการขายพ่วง ดังนั้นแม้จะต้องเข้าซื้อ แต่มอง JASIF ไม่ได้อยู่ในการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาดูแลเป็นพิเศษ

บล.กรุงศรี พัฒนสิน  แม้ JASIF จะได้รับเงินค่าเช่าครบแล้วช่วยคลายกังวลต่อรายได้ค่าเช่าและเงินปันผลใน ไตรมาส 1 ปี 2566 ของกองทุน  อย่างไรก็ตามการรอความคืบหน้าของ กสทช.อนุมัติการซื้อ TTTBB ของ ADVANC ทำให้ยังมีความกังวลต่อการปรับราคาเสนอซื้อหน่วยลงทุน JASIF จากปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 8.50 บาท รวมทั้งกังวลต่อความสามารถในการแข่งขัน และการจ่ายค่าเช่าของ TTTBB ให้กับ JASIF

ระยะสั้นมองว่าราคา JASIF ยังถูกกดดันด้วยความเสี่ยงของดีล ADVANC ซื้อ TTTBB อาจล่าช้า ทำให้ราคาเสนอซื้อหน่วยลงทุน JASIF จะถูกปรับลงจาก 8.50 บาท และความเสี่ยงเรื่องความสามารถในการจ่ายค่าเช่าของ TTTBB อย่างไรก็ตามภายใต้เงื่อนไขสัญญาเช่าของกองทุนฯ คาดว่า จะจ่ายเงินปันผลในปี 2566  อัตราหน่วยละ 0.91 บาท (yield13%) ประกอบกับหากการซื้อ TTTBB ของ ADVNAC จบในต้น ไตรมาส 2 ปี 2566  มองเป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวของราคาหุ้น JASIF เท่านั้น

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์