ดาวโจนส์ร่วงในกรอบแคบ 10 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน

ดาวโจนส์ร่วงในกรอบแคบ 10 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(18เม.ย.)ปรับตัวลงเล็กน้อย 10 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 10.55 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 33,976.63 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 3.55 จุด หรือ 0.09% ปิดที่ 4,154.87 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 4.31 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 12,153.41 จุด

ข้อมูลจาก Refinitiv IBES ระบุว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะรายงานตัวเลขกำไรลดลง 5.2% ในไตรมาส 1/2566 หลังจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น 1.4% ในไตรมาสดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุดในช่วงแรก ขณะที่นักลงทุนผิดหวังต่อการเปิดเผยผลประกอบการของโกลด์แมน แซคส์

ราคาหุ้นโกลด์แมน แซคส์ดิ่งลงเกือบ 3% หลังธนาคารมีกำไรและรายได้ที่ลดลงในไตรมาส 1/2566 โดยได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงจากธุรกิจซื้อขายตราสารหนี้ และการทำข้อตกลงควบรวมกิจการ รวมทั้งการขาดทุนจำนวน 470 ล้านดอลลาร์จากการขายพอร์ทเงินกู้ "มาร์กัส"

นอกจากนี้ หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา และบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ปรับตัวลงเช่นกัน แม้เปิดเผยผลประกอบการสูงกว่าคาด

นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจและถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด

นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟด สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า เขาคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้ง ก่อนที่จะพักการดำเนินการด้านดอกเบี้ยเพื่อพิจารณาถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการที่เฟดใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน

"การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เราหยุดพัก และดูว่านโยบายของเฟดส่งผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจ และทำความเข้าใจว่าอัตราเงินเฟ้อใกล้ถึงเป้าหมายของเราแค่ไหนแล้ว" นายบอสติกกล่าวในรายการ Squawk on the Street ของสถานีข่าวซีเอ็นบีซี

"หากข้อมูลออกมาตามคาด เราก็จะคงอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลาระยะหนึ่ง โดยเราจะไม่ดำเนินการอะไร นอกจากจับตาเศรษฐกิจตลอดทั้งปีนี้ และขณะเข้าสู่ปี 2567" นายบอสติกกล่าว
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 88.7% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค. และให้น้ำหนักเพียง 11.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.75-5.00%

นอกจากนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลาหลายเดือน ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ก่อนสิ้นปี 2566

อย่างไรก็ดี นายบอสติกกล่าวว่า เฟดจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ระดับ 2% ของเฟด

ขณะเดียวกัน นายบอสติกเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เผชิญภาวะถดถอย แม้เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายระบุเตือนในการประชุมเดือนมี.ค.ว่าสหรัฐอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ไม่รุนแรงมากนักในปีนี้

ตลาดจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่จะมีการเปิดเผยในวันที่ 28 เม.ย. โดยดัชนีดังกล่าวเป็นข้อมูลเงินเฟ้อสำคัญตัวสุดท้ายก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 2-3 พ.ค.

ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ โดยสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)