ดาวโจนส์ร่วง 110 จุด กังวลเศรษฐกิจซบ,ผลประกอบการวูบ
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(20เม.ย.)ร่วงลง 110 จุด ขณะที่นักลงทุนวิตกต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 110.39 จุด หรือ 0.33% ปิดที่ 33,786.62 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วง 0.6% ปิดที่ 4,129.79 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลบ 0.8% ปิดที่ 12,059.56 จุด
ทั้งนี้ หุ้นเทสลา ดิ่งลงกว่า 7% หลังเปิดเผยผลประกอบการต่ำกว่าคาด และเป็นปัจจัยฉุดหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี
ข้อมูลจาก Refinitiv IBES ระบุว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะรายงานตัวเลขกำไรลดลง 5.2% ในไตรมาส 1/2566 หลังจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น 1.4% ในไตรมาสดังกล่าว
นักลงทุนมีความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐ หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ Beige Book เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐประสบภาวะชะงักงันในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยการจ้างงานชะลอตัวลง ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ หลังเกิดวิกฤตภาคธนาคารในช่วงที่ผ่านมา
รายงาน Beige Book ดังกล่าว แตกต่างจากฉบับที่มีการเปิดเผยในเดือนมี.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง แม้เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ขณะเดียวกัน สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอในวันนี้ โดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ปรับตัวลงสู่ระดับ -31.3 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -19.2 จากระดับ -23.2 ในเดือนมี.ค.
ดัชนียังคงปรับตัวต่ำกว่าระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกอยู่ในภาวะหดตัว โดยหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8
นอกจากนี้ สหรัฐเปิดเผยยอดขายบ้านมือสองปรับตัวลงในเดือนมี.ค. ขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
ตลาดจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายในวันนี้และพรุ่งนี้ ขณะที่เฟดจะเริ่มเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ในวันที่ 22 เม.ย. ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 2-3 พ.ค. ซึ่งเป็นไปตามกฎระเบียบของเฟด
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่จะมีการเปิดเผยในวันที่ 28 เม.ย. โดยดัชนีดังกล่าวเป็นข้อมูลเงินเฟ้อสำคัญตัวสุดท้ายก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมนโยบายการเงินในเดือนพ.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ โดยสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)