ฉีกสถิติเลือกตั้งปี 66 หุ้นไทยร่วง ขั้วรัฐบาล - ทีมเศรษฐกิจไม่ชัด
หลังการเลือกตั้งปี 2566 ได้เสร็จสิ้นลง แต่ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนกลับพึ่งเริ่มต้นขึ้น สะท้อนจากความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เนื่องจากตลาดหุ้นยังไม่เชื่อมั่นในหลายด้านที่จะนำไปสู่ความมีเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ด้วยผลการเลือกตั้งรอบนี้ออกมา "พลิกขั้ว" และยัง "เกินความคาดหมาย" จากขั้วอนุรักษนิยมหรือพรรครัฐบาลเดิม ไปสู่เสรีนิยม หรือพรรคฝ่ายค้าน และยังเป็นการได้คะแนนเสียงแบบแลนด์สไลด์ โดยเฉพาะพรรคก้าวไกลที่ได้เกินความคาดหมายอย่างแท้จริง
เมื่อพรรคก้าวไกลคะแนนนำเป็นอันดับ 1 และยังสามารถล้มยักษ์ล้มแชมป์ในหลายพื้นที่อย่างพื้นที่ในกรุงเทพฯ ที่มีทั้งหมด 33 เขตกวาดมาได้ถึง 32 เขต มีพรรคเพื่อไทยได้มา 1 เขต ล้มพรรคใหญ่พรรคอื่นอย่างราบคาบ จนทำให้จากพรรคใหญ่สุดแถวขึ้นมายืนแถวหน้ารั้งอันดับ 1 ได้สำเร็จ
จากนี้คือ การจับขั้วเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเพื่อให้ได้เสียงข้างมาก และหากไม่พลิกโพลหรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองตามเบื้องต้นการรวมกัน พรรคก้าวไกล - พรรคเพื่อไทย - พรรคประชาชาติ - พรรคไทยสร้างไทย - พรรคเสรีรวมไทย และพรรคเป็นธรรม ได้เสียง 309 เสียง
หากพรรคดังกล่าวจับมือกันจริงถือว่าให้เป็นรัฐบาลที่แข็งแกร่งด้วยจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา หรือ 250 เสียง แต่สิ่งที่ตามมาคือ
นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยที่ต้องได้เสียง 376 เสียงขึ้นไป ซึ่งจะอยู่ที่การฝ่าด่าน ส.ว. ที่มี 250 เสียงไปด้วย
เฉพาะประเด็นดังกล่าวมีโอกาสที่เป็นไปได้หลายแนวทาง ทางบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุ การเลือกตั้งไทย และความเป็นไปได้ของผลลัพธ์ การเลือกตั้งทั่วไป 14 พ.ค. มีโอกาสเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการดำเนินนโยบาย และความคาดหวังของเศรษฐกิจ ซึ่งประเมินผลลัพธ์การเลือกตั้งเรียงจากมุมมองบวกมากที่สุดไปยังลบมากที่สุดดังนี้
1.เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจ (พรรคร่วมฝ่ายค้านตั้งรัฐบาลสำเร็จ) โอกาส 20%
2. เกิดการจับมือข้ามขั้วการเมือง (เพื่อไทยจับมือกับพรรคแกนนำรัฐบาลเดิม) โอกาส 40%
3.ได้รัฐบาลจากขั้วอำนาจเดิม โอกาส 30%
4. เกิดสุญญากาศทางการเมือง (ไม่มีฝ่ายใดรวมเสียงได้ถึง 376 หรือส.ว.งดออกเสียงทำให้ไม่สามารถตั้งนายกรัฐมนตรีได้) โอกาส 10%
ทั้งนี้มองความเป็นไปได้กรณีแรกจะบวกต่อตลาดหุ้น แต่ตัวแปรเกี่ยวกับการรับรองการเลือกตั้งที่ใช้เวลาถึง 1 เดือน และการดำเนินคดีเกี่ยวกับคุณสมบัติ และการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง รวมทั้งการเจรจาต่อรองในช่วงของการทยอยรับรองผลการเลือกตั้ง อาจทำให้บรรยากาศลงทุนระยะสั้นผันผวน
สำหรับการลงทุนยังมองหุ้นกลุ่มที่อิงโมเมนตัมเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งค้าปลีก เปิดเมือง ท่องเที่ยว และอิงนโยบายภาครัฐ จะเคลื่อนไหวได้ดีหลังการเลือกตั้ง
นอกจากความไม่ชัดเจนเรื่องการจับขั้วรัฐบาลแล้ว ยังไม่นับรวมปัจจัยด้านนโยบายเศรษฐกิจและการวางทีมเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลที่ถือได้ว่ามีจุดแข็งทำให้ได้ใจแต่มีจุดอ่อนในเชิงปฏิบัติ
ยิ่งนโยบายที่ประกาศขึ้นค่าแรงทุกปีเริ่ม 450 บาท ถือว่าได้ใจประชาชนแต่ฝากของธุรกิจย่อมมองว่าเป็นผลกระทบต้นทุนอย่างแน่นอน หรือสวัสดิการเด็กเล็ก 1,200 บาท/เดือน สูงวัย 3,000 บาท/เดือน ภายใต้งบประมาณเดิมเนื่องจากมีปัญหาในการเรียกประชุมสภาเพื่อพิจารณางบประมาณประจำปี 2567 เริ่มใช้เดือนตุลาคมนี้
นโยบายลดค่าไฟฟ้า 0.70 บาท/หน่วย หรือนโยบายปฏิรูปสัมปทานโรงไฟฟ้า ระบบทุนผูกขาดบางธุรกิจซึ่งล้วนทำให้เกิดความกังวลต่อภาคธุรกิจขนาดใหญ่ภายใต้เครือข่ายกลุ่มทุนเจ้าสัวของไทยทันที ไม่ว่าจะเป็นหุ้นโรงไฟฟ้า หุ้นค้าปลีก และหุ้นสื่อสาร-โทรคมนาคม เป็นต้น
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ตามค่าทางสถิติโดยข้อมูล 22 ปี ย้อนหลังครอบคลุมการเลือกตั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า SETINDEX ตอบรับเชิงบวกในวันรุ่งขึ้นหลังเลือกตั้งด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย +2% ภายใต้ความน่าจะเป็นที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงถึง 80% หากในรอบนี้กลับฉีกสถิติตลาดหุ้นปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรก
หลังจากนี้ยังต้องระวังเพราะต้องรอความชัดเจนอีกหลายประเด็น เช่น 1.การประกาศจัดตั้งรัฐบาลของพรรคแกนนำว่าจะร่วมมือกับพรรคใดบ้าง 2.การประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการของ กกต. 3.การโหวตนายกฯ ที่ยังต้องใช้เสียงรับรองจากส.ว.เพื่อให้ได้เสียงจากสภาร่วมตั้งแต่ 376 เสียงขึ้นไปซึ่งเราประเมินว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือน
ขณะที่ SETINDEX และหุ้นกลุ่ม DomesticPlay ปรับตัวขึ้นรับผลการเลือกตั้งไปแล้วระดับหนึ่งประกอบกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกในประเด็นการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐ ที่จะมีน้ำหนักมากขึ้นในสัปดาห์นี้ จึงให้น้ำหนักการลงทุนเพียงเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น และให้ลดน้ำหนักอีกครั้งเมื่อ SETINDEX ปรับขึ้นเข้าใกล้บริเวณ 1,600 จุดหุ้นในกลุ่ม Domesticplay ที่ยังLaggard และผลประกอบปีนี้มีแนวโน้มเติบโต เช่น KBANK,SCAP,MAKRO,DOHOME,OSP,M เป็นต้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์