'4 กูรูตลาดทุน' คัดหุ้นเด็ด ทำกำไรครึ่งหลังปี 66 ชู 'งบแจ่ม - ราคาไม่แพง'

'4 กูรูตลาดทุน' คัดหุ้นเด็ด ทำกำไรครึ่งหลังปี 66 ชู 'งบแจ่ม - ราคาไม่แพง'

 “4 กูรูตลาดทุน” ชี้ หุ้นไทยครึ่งปีหลังไซด์เวย์ เหตุ ขาดปัจจัยบวกหนุน  “การเมืองในประเทศไม่นิ่ง เศรษฐกิจโลก - กำไร บจ.ชะลอตัว" พร้อมคัดหุ้นเด็ดทำกำไร เน้นเลือกลงทุน "ผลดำเนินงานเติบโต - ราคาไม่แพง" 

กรุงเทพธุรกิจ จัดงานสัมมนา Investment Forum : New Chapter, New Opportunity ในช่วงเบญจภาคี 5 หุ้นเด็ด ทำกำไร  มี “4 กูรู” ตลาดทุนไทย มาให้มุมมองการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งทั้ง “4 กูรู” มีมุมมองเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ดัชนีหุ้นไทยจะไซด์เวย์ จากปัจจัยต่างประเทศ และในประเทศกดดัน ทำให้นักลงทุนต้องเลือกลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง 

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน  บล.ลิเบอเรเตอร์   กล่าวว่า   ในช่วงระยะสั้นดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากปัจจัยต่างประเทศที่เคยกดดันผ่อนคลายลง เช่น เงินเฟ้อสหรัฐชะลอตัว ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ขึ้นดอกเบี้ยอีกไม่มากแล้ว หลังจากนั้นก็จะคงดอกเบี้ย  ขณะที่ประเทศจีนก็มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทั้งนี้การปรับขึ้นของดัชนีก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก เนื่องจาก ยังถูกกดดันจากปัจจัยภายในประเทศคือ ปัจจัยการเมือง ซึ่งยังมีความไม่ชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล  ซึ่งตอนนี้ขอให้มีความชัดเจนในการจัดตั้งก่อน ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในช่วงไตรมาส 2 -3 มีทิศทางชะลอตัว จึงกดดันให้ ดัชนีในช่วงครึ่งปีหลัง 2566แกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,500-1,600 จุด

ดังนั้นการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนักลงทุนต้องจับจังหวะการลงทุนที่ดี  เพราะจะมีการสลับเปลี่ยนกลุ่มหุ้นในเข้าการลงทุน  ดังนั้นบล.ลิเบอเรเตอร์ จึงแนะเลือกลงทุนในหุ้นที่กำไรฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และราคาหุ้นยังอยู่ในระดับต่ำ 

สำหรับ 5 หุ้นเด็ดที่แนะนำคือ 

1. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือCPALL เพราะ ราคายังปรับขึ้นไม่มาก และได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศ ซึ่งให้ราคาเป้าหมายที่  74 บาท  , 2.บริษัท แพลน บี มีเดีย  จำกัด (มหาชน)หรือPLANB จากคาดว่ากำไรปีนี้จะนิวไฮ  และราคาอยู่ระดับต่ำ โดยให้ราคาเป้าหมาย 10.9 บาท , 3.บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน)หรือ GFPT จากยอดการส่งออกไก่เติบโตต่อเนื่อง และราคาขายเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น  ขณะที่ P/E อยู่ระดับต่ำเพียง  10 เท่า โดยให้ราคาเป้าหมาย 15 บาท

4.บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน)หรือ PTG ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ทำให้ปริมาณการขายน้ำมันเพิ่มขึ้น และค่าการตลาดทิศทางที่ดี  และราคาไม่แพง มีP/E 13 เท่า โดยให้ราคาเป้าหมาย15.50 บาท และ 5.บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ PRTR จากคาดกำไรปีนี้นิวไฮ โดยให้ราคาเหมาะสม ที่ 9.50 บาท 

นายกวี ชูกิจเกษม Head of Research and Content บล.พาย กล่าวว่า คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะไซด์เวย์  เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาหนุน และกำไรบจ.ถูกกดดัน จากทิศทางเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัว เพราะ สัญญาณเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวลง ทำให้ดอกเบี้ยตัวลง เมื่อดอกเบี้ยลง ดัชนีหุ้นก็จะปรับตัวลงตาม 

ทั้งนี้เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยจะไม่ลงแรงไปมากกว่านี้แล้ว เพราะ ปัจจุบันถือว่าราคาไม่แพง  มีค่าP/E เพียง  14-15 เท่า ซึ่งมองแนวรับที่ระดับ 1,450 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,600 จุด  โดยหากดัชนีปรับตัวลดลงมา ส่วนตัวมองว่าเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ

 “ส่วนตัวมองเฟดจากนี้จะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว ซึ่งคาดว่าดอกเบี้ยสหรัฐจะสูงสุดในระดับนี้  ”

สำหรับหุ้นแนะนำจะเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ( Domestic Play)ดังนี้ 

1.  บริษัท  กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)หรือ BDMS ให้ราคาเป้าหมาย 34 บาท

2.บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)หรือ MINT ให้ราคาเป้าหมาย 42 บาท

3.บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ  จำกัด (มหาชน)หรือBAFSให้ราคาเป้าหมาย 39 บาท

4.ธนาคารกรุงไทย(KTB)ให้ราคาเป้าหมาย  21.4 บาท 

5.CPALL ให้ราคาเป้าหมาย 72 บาท 

 อย่างไรก็ตามในช่วงกลางปี 2567 คาดว่าตลาดหุ้นจะฟื้นตัวได้ หลังจากที่ปรับตัวลงจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลงมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว  โดยมองดัชนีสิ้นปีหน้าอยู่ที่ระดับ 1,800 จุด

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยไซต์เวย์ ปัจจัยหลักมาจากความไม่ชัดเจนเรื่องการเมืองเป็นหลัก ขณะที่ดอกเบี้ยคาดว่าจะจบรอบขาขึ้นในเดือนพ.ค. และยังเชื่อมั่นว่าแนวโน้มจะยังเป็นแบบนั้น โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยอีกไม่เกิน 1 ครั้ง รวมทั้งมองว่าวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนี้ไม่น่าจะเกิดการชะลอตัวรุนแรง

โดยสะท้อนจาก 3 ปีที่ผ่านมาในช่วงโควิด-19 ปริมาณการฝากเงินของคนทั่วโลกขึ้นมาทำระดับใกล้เคียงกับเรคคอร์ดไฮ

เนื่องจากตอนเกิดวิกฤติโควิด-19 ประชากรทุกคนทั่วโลกไม่กล้าใช้เงิน เพราะฉะนั้น ปัจจุบันจะเห็นการลดอัตราดอกเบี้ย เพราะอยากให้คนถอนเงินออกจากธนาคาร (แบงก์) เพื่อไปจับจ่ายใช้สอย ซึ่งสหรัฐ ก็เป็นแบบนั้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมรอบนี้ถึงจะไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจไม่รุนแรง และเกิดวิกฤติแบงก์เล็กไม่ได้ไปแบงก์ใหญ่ ปัจจุบันสินค้าเริ่มตรึงส่วนบริการเริ่มมีการชะลอตัว ซึ่งก็ไม่ได้กังวลเพราะการบริการทั่วโลกสุดท้ายจะเกิดการเพิ่มปริมาณสินค้า และการบริโภคสินค้าจะกลับมา สะท้อนผ่านมาช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์กลับมา

อย่างไรก็ตาม มองช่วงครึ่งปีหลังหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์จะกลับมารีบาวด์มาจาก 2 เหตุผล 1.การกลับของเศรษฐกิจถดถอย จากที่ต้นปีทุกคนจะมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐ และ ยุโรป มีโอกาสที่จะถดถอยรุนแรง 2. เศรษฐกิจประเทศจีนคาดว่าจะกลับมีมาตรการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ

สำหรับ “5 หุ้น” แนะนำลงทุน

1.บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือHANA ให้ราคาพื้นฐานที่ 49 บาท โดยแนะนำให้เข้าซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะเล่นตามเทรนด์ของการกลับมาสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น

2.บริษัท เงินติดล้อจำกัด (มหาชน) หรือTIDLORราคาพื้นฐาน 30 บาท มองว่าราคาที่ปรับตัวลงมาเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ

3.บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 37 บาท

4.บริษัท ช การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือCK ราคาพื้นฐาน 33.50 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาปรับตัวลงมาเกินราคาพื้นฐาน

5.บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือSCGP ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 49 บาท

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่  บล. กรุงศรี กล่าวว่า มองตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังไซด์เวย์ เนื่องจากมองมีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งตอนนี้มองโอกาสที่จะเกิดวิกฤติ และทำให้หุ้นตกแรงๆ ยังไม่คิดแบบนั้น ซึ่งทุกวันนี้มองว่าสิ่งที่จะเกิดในฝั่งของเศรษฐกิจรายได้ของโลกที่มีตัวเลขหลายๆ ตัวออกมาแล้วเซอร์ไพรส์ทางบวกเริ่มเพิ่มขึ้น ซึ่งออกมาแย่แต่เป็นการแย่ที่น้อยลง

ทั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนกังวลคือ ภาคบริการ กลัวจะเกิดภาควิกฤติเหมือนในอดีต ดังนั้น หากแยกเศรษฐกิจออกเป็น 2 ส่วนคือ ภาคบริการและภาคการผลิต ซึ่งปัจจุบันทุกคนมองภาคการผลิตแย่มาก ซึ่งตัวเลขออกมายังต่ำกว่า 50% โดยมองว่าตอนนี้มีโอกาสที่ภาคบริการจะชะลอตัว เริ่มเกิดการเทขายทำกำไร แต่ภาคการผลิตจะกลับมาเพราะสิ่งที่เริ่มเห็นตอนนี้สิ่งที่ลงเร็วกว่าในเรื่องของเงินเฟ้อคือ ดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีราคาผู้ผลิต ซึ่งดัชนีราคาผู้ผลิตลดลงเร็วกว่า นั้นแสดงว่าต้นทุนของผู้ประกอบการลดลงเร็ว ซึ่งก็จะได้ประโยชน์ตรงส่วนนี้ นั้นหมายความว่าภาคบริการจะถูกทิ้ง แต่ภาคการผลิตคือ จุดต่ำสุดแล้ว

โดยภาคผลิตที่ใหญ่สุดของโลกคือ ประเทศจีน ซึ่งเศรษฐกิจก็ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ดี แต่รัฐบาลกำลังจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากมองในขาหนึ่งกำลังจะอันตราย แต่อีกขาหนึ่งกำลังจะรีบาวด์แล้ว นั้นแสดงว่า ถ้าภาพออกมาเป็นแบบนี้จะเป็นการย้ายของภาคบริการมาสู่ภาคการผลิตขึ้น สะท้อนผ่านธนาคารโลก ยังปรับตัวเลขของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ในปีนี้เพิ่มขึ้น และประเทศที่ธนาคารโลกมีการปรับเพิ่มขึ้นคือ ประเทศจีน , ประเทศไทย และสหรัฐ

“คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะโยกจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง และคาดว่าตัวเลขเงินเฟ้อกำลังจะใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่ภาคที่เห็นจะต้องภาคการผลิตมาก่อนเพื่อทำให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นในอนาคต”

สำหรับตลาดหุ้นไทย ก็ยังไซด์เวย์ต่อเนื่อง หากมองในภาพการลงทุนการถือยาวยังไม่ใช่ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเซกเตอร์ ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนเซกเตอร์โลเคชั่นจะมีการเปลี่ยนแปลง ส่วน SET INDEX นิ่งๆ อาจจะไม่ปรับขึ้น ซึ่งคาดว่าไตรมาส 3 ปี 2566 จะต้องติดตามตลาดหุ้นไทยอย่างใกล้ชิด โดยตลาดจะมองนโยบายการคลังของจีนมากกว่า โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของจีนมากกว่า

โดย “5 หุ้นเด็ด” แนะนำลงทุน “ซื้อ”

1.บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือCBG ให้ราคาพื้นฐาน 82 บาท มีความน่าสนใจ และจะเป็นหุ้นตัวสุดท้ายของกลุ่มเครื่องดื่มที่น่าจะปรับตัวขึ้นมา คาดว่าไตรมาส 3 ปี 66 ธุรกิจจะเทิร์นอะราวด์

2.บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือPTTEP อยู่ที่ 157 บาท

3.บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือBANPUราคาพื้นฐานทางเทคนิคเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน อยู่ที่ 10.50 บาท โดยคาดว่าราคาถ่านหินผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

4.บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVLราคาพื้นฐานทางเทคนิคบนเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน อยู่ที่ 38 บาท ซึ่งคาดว่าจะมีการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นมา ทำให้เชื่อว่าสินค้าโภคภัณฑ์มีราคาต่ำสุดไปแล้ว แสดงว่าราคาหุ้นก็น่าจะต่ำสุดไปแล้วเหมือนกัน

5.บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือTOP ราคาพื้นฐานทางเทคนิคบนเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน อยู่ที่ 51 บาท

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์