‘ศรัทธา’ แฉยับหุ้น STARK ถูก 3 นาย สั่งแต่งบัญชีหวังปั่นราคา
“ศรัทธา อดีตซีเอฟโอ" จำเลยคดี STARK รับสารภาพ ก.ล.ต. หมดเปลือกแต่งบัญชี หวังปั่นราคาหุ้น ตามคำสั่ง 3 นาย หวังจบดีลขายหุ้นบิ๊กล็อต รสก.แห่งหนึ่ง แต่ดีลล้ม ยันไม่ได้โกง ส่วนขายหุ้นเพิ่มทุน - หุ้นกู้ ยันไม่เกี่ยวกรณีนี้ ย้ำใช้เงินตามวัตถุประสงค์ชำระหนี้ ตรวจสอบได้
นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริการด้านการเงิน บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดใจรับสภาพทุกข้อกล่าวหาเรื่อง ตกแต่งบัญชีจริง แต่ไม่ได้โกง ในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ในเช้าวันนี้(4ก.ค.) ว่า เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมาได้เข้าชี้แจงกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยยอมรับสารภาพทั้งหมดว่า ตนเป็นผู้ตกแต่งบัญชี เพื่อประโยชน์แห่งราคาหุ้น โดยที่ได้รับคำสั่งจาก 3 ท่าน เพื่อผลประโยชน์ของคนสั่ง โดยส่วนตัวไม่มีการทุจริตแต่อย่างใด
“ผมรู้จักส่วนตัวกับ นาย ช. เท่านั้น ซึ่งผมได้รับคำสั่งโดยตรง ขณะที่ผู้ได้รับประโยชน์ตรงคือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ STARK น่าจะเป็น นาย ว. และผู้ที่เกี่ยวข้องคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้าง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน และติดต่อประสานงานบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน คือ นาย ก. ”
นายศรัทธา กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการแต่งบัญชี เป็นเรื่องของราคาหุ้นเพียงอย่างเดียว ทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น มีวอร์แรนท์ที่จะครบกำหนด 5 บาท ในปี 2567 และที่ผ่านมามีการขายหุ้นตั้งแต่ทำดีลเทคโอเวอร์ รวมถึงการขายหุ้นบิ๊กล็อต ราคา 3 บาทกว่า อีกครั้งตอนมีข่าว รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งจะเข้ามาซื้อหุ้น ซึ่งหุ้นที่จะซื้อเป็นของ นาย ว. หากไปดูข้อมูล รัฐวิสาหกิจได้เปิดเผยผ่านคณะกรรมการการลงทุนเรียบร้อย แต่ไปหยุดที่ไหนผมไม่ทราบ เพราะสุดท้ายดีลนี้ไม่จบ
“การตกแต่งบัญชีทั้งหมดตามที่ผมได้ชี้แจง ก.ล.ต. คือ เป็นประโยชน์แห่งราคาหุ้น เพื่อขายหุ้น STARK และระดมเม็ดเงินใหม่เข้ามา เพราะจริงๆ แล้วเป้าหมายที่จะทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปที่ 5 บาทได้นั้น ต้องเข้า SET 50 ให้ได้ เพราะปริมาณการซื้อจากรายใหญ่ได้นั้น ต้องเข้า SET 50 ดังนั้นเราเริ่มเข้าที่ SET 100 ก่อน”
นายศรัทธา กล่าวว่า การตกแต่งบัญชี สตาร์ค และบริษัทลูกนั้น เพื่อสร้างยอดขายเทียม ยอดขายสูงกว่าสิ่งที่ควรเป็นกำไรสูงขึ้น เป็นกำไรเทียมตามยอดขาย และมีลูกหนี้เทียมเกิดขึ้นตามมา ใช้เงินจากบริษัทลูกที่เรียกว่า กลุ่มนอนสตาร์ค เกลี่ยเงินจากทั้งกลุ่มเข้ามาชำระหนี้ที่อยู่ใน เฟ้ลปส์ ดอด์จ ปรากฏในบัญชีสตาร์ค จากบริษัทในกลุ่มสตาร์คโยกออกไปนอนสตาร์ค เงินหมุนเข้า หากน้อยกว่าการตัดชำระหนี้ ต้องเวียนเพื่อให้จบตามกระบวนการ
"ที่ผ่านมายอมรับว่า ตอนแรกไม่ได้ทำเยอะเพื่อที่จะให้ราคาหุ้น ค่อยๆ ขึ้น จนชุดสุดท้ายที่มีรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งจะเข้ามาซื้อ และถูกสั่งว่าต้องทำ เพื่อให้ทางรัฐวิสาหกิจ มีความเชื่อมั่นเข้าซื้อหุ้นบิ๊กล็อต"
นายศรัทธา กล่าวว่า จริงๆ แล้วหากได้เงินจากรัฐวิสาหกิจเข้ามาบริษัทจะรอด แต่จะขายหุ้นได้นั้นต้องปั่นราคา ต้องแต่งบัญชีมโหฬาร ช่วงปลายปี 2564 แต่เมื่อดีลรัฐวิสาหกิจ ไม่สำเร็จ ดีลล้ม
ประกอบกับ การตัดสินใจเข้าไปเทคโอเวอร์ 2 บริษัทในเวียดนาม เจอวิกฤติโควิดด้วย ขาดทุนซ้ำเติม ก็ถือเป็นความผิดพลาด ฉุดสภาพคล่องทั้งเครือ แต่ยังจ่ายชำระหนี้ตรงเวลา และใช้จังหวะที่เครดิตเรตติ้งเข้ามาให้เรตติ้ง BBB+ ทำให้เราขายหุ้นกู้ได้ และที่ผ่านมาไม่เคยผิดนัดชำระหุ้นกู้ เพราะเรารู้ว่า ถ้าดีลขายหุ้นรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งได้จบ เราจะผ่านไปได้ จึงออกหุ้นเพิ่มทุนในล็อตแรก และออกหุ้นกู้ได้
นายศรัทธา ยืนยันว่า จริงๆ แล้วการออกขายหุ้นกู้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เดียวกับการตกแต่งบัญชี แต่เป็นจังหวะที่เราต้องจ่ายชำระหนี้ ซึ่งการใช้เงินจากการออกขายหุ้นกู้ ก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์ สามารถตรวจสอบได้คือ เงินจากหุ้นกู้นำไปชำระหนี้ให้กับธนาคารใดบ้าง จ่ายชำระ LCTR ที่ใดบ้าง สามารถตรวจสอบได้ PWC ได้เข้ามาตรวจสอบในประเด็นนี้
ส่วนกรณีการแต่งบัญชีเพื่อปั่นหุ้น ต้องมีคนได้ประโยชน์จากการแต่งบัญชีเกินจริง นาย ว. ซึ่งได้ผลประโยชน์เท่าไรนั้น นายศรัทธา กล่าวว่า เท่าที่ประเมินในวันที่ทำดีลเทคโอเวอร์ จนถึงวันมีข่าวรัฐวิสาหกิจรายหนึ่งจะเข้ามาซื้อหุ้น ตอนนั้นราคาหุ้นขึ้นไป 5 บาท ได้ผลประโยชน์รวมๆ ราว 10,000 ล้านบาท ประเมินจากการขายหุ้นบิ๊กล็อต 3 ครั้ง และวอร์แรนท์ ด้วย
ส่วนคำถามที่ว่า นาย ช. และ นาย ก. ได้ผลประโยชน์จากส่วนนี้เท่าไรนั้น นายศรัทธา กล่าวว่า ผมไม่ทราบ เพราะสองคนนี้ไม่ได้มีหุ้น ขณะที่ผมเองไม่ได้รับผลประโยชน์จากหุ้น ผมได้จากการบริหารจัดการบริษัทลูกของสตาร์ค ในกลุ่มที่เรียกว่า นอนสตาร์ค ซึ่งบริษัทในกลุ่มของ 3 ท่านมี รวมๆ กว่า 30 บริษัท แบ่งเป็น กลุ่มที่สตาร์คเข้ามาถือหุ้นโดยตรง และนอนสตาร์คที่มีบริษัททีมเอ เข้ามาถือหุ้น ซึ่งก็เป็นบริษัทของผู้ถือหุ้นใหญ่สตาร์ค
“มีการโยนเงินกันไปมาระหว่างสตาร์คกับนอนสตาร์ค โดยผ่านบัญชีส่วนตัวของผมจริงๆ แต่ปลายทางของเงินสุดท้ายไปเข้าในเครือข่ายของสตาร์ค ส่วนที่บอกว่ามีเงินหาย 3,000 ล้านบาท ชี้มาที่ผมนั้น ตนไม่รู้เพราะว่า ตั้งแต่ 20 มิ.ย. ดีเอสไอ ยังไม่เรียกผมไปชี้แจง ผมเลยไม่รู้ว่า นาย ว. พูดอะไรออกไปบ้าง ได้ทราบตามที่เป็นข่าว”
นายศรัทธา กล่าวปิดท้ายว่า ตอนนี้ผมสารภาพกับก.ล.ต. ทั้งหมดและตามกระบวนการจนถึงที่สุด จะเป็นอย่างไร ผมก็รับตามนั้น แต่ผมยังไม่ได้เข้าไปชี้แจงทางดีเอสไอ และจะออกหมายจับเลย ผมก็ได้ยินตามข่าวเช่นนั้น เพราะคดีนี้ความเสียหายแสนล้าน
แต่หากเบื้องต้นประเมิน ความเสียหายทุกรูปแบบคาดว่า เฉพาะยอดขาย 6,000 ล้านบาท หุ้นกู้ 10,000 ล้านบาท เงินกู้ยืมแบงก์ LCTR ตามงบ 24,000 ล้านบาท ถ้าคอลดีฟอล
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์