เปิดโผ 10 หุ้นบิ๊กแคปกลุ่มพลังงาน น่าลงทุน - เหลืออัพไซด์อื้อ
เปิดโผ 10 หุ้นบิ๊กแคปกลุ่มพลังงาน น่าลงทุน และเหลืออัพไซด์อีกมาก EA เหลืออัพไซด์มากสุด 55.88% ด้านประกิต เผย PTTEP น่าสนใจ มูลค่าการขายดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา หรือเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
หุ้นกลุ่มพลังงานยังคงเป็นที่น่าจับตาของนักลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าในช่วงครึ่งปี 2566 ที่ผ่านมา ยังไม่ค่อยสดใสมากนัก ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบมาจากปัญหาราคาน้ำมันโลก รวมไปถึงการเมืองในประเทศของเรา ที่เกรงว่าถ้าได้รัฐบาลจากพรรคก้าวไกลเข้ามาบริหารจะมีการปรับโครงสร้างพลังงาน และจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในภาพรวม จึงทำให้ราคาของหุ้นกลุ่มนี้ยังคงไม่ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า เป็นโอกาสในการทยอยเข้าไปเก็บสะสม เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีปัจจัยพื้นฐานดี และปัจจุบันยังคงเหลืออัพไซด์มาก
ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า หุ้นกลุ่มพลังงานยังถือว่า มีความน่าสนใจ เนื่องจากราคาน้ำมันได้มาถึงจุดต่ำสุดแล้ว และจะสามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เพราะหลังจากนี้ สหรัฐจะมีการเข้าซื้อน้ำมันคืนหลังจากที่มีการนำน้ำมันสำรองออกมา ส่วนฝั่งซัพพลายที่ออกมาจะเริ่มปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งซาอุดีอาระเบียเริ่มลดการขยายกำลังการผลิตแบบสมัครใจ ขณะที่รัสเซียจะเริ่มเข้ามาเล่นเกมของราคาน้ำมัน รวมถึงประเทศจีนเริ่มมีดีมานด์มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
“น้ำมันในครึ่งปีหลัง มีการคาดการณ์ไว้ว่า ผลิตจะเริ่มน้อยกว่าความต้องการ ส่วนกลุ่มพลังงานข้อมูลคือ ถ้าเราเข้าไปเก็บตอนนี้ ก็จะตอบรับกับน้ำมันในราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะ และจะเริ่มมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วย โดยจะเริ่มหลังจากมีการประกาศงบไตรมาส 2/66 โดยตัวที่น่าสนใจคือ PTTEP เนื่องจากปริมาณการขายค่อนข้างที่จะดูดีขึ้น ซึ่งจะไปชดเชยกับราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวลดลง โดยภาพรวมจึงมองว่า มูลค่าการขายดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา หรือเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า”
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กลุ่มพลังงานก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางภายในประเทศจากการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ที่อาจจะมีความกังวลต่อการลดราคาพลังงานลงมา จนทำนักลงทุนเกิดความวิตกกังวลกันไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นในประเทศยังไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้กลุ่มพลังงานนั้นมีราคาปรับตัวลงมา เพราะการที่จะเข้าไปแก้สัญญาเก่าโดยเฉพาะในกลุ่มโรงไฟฟ้าคงเป็นไปได้ยาก
ขณะเดียวกันในกลุ่มพลังงานในฝั่งของคอมมูนิตี้ที่มีการลิ้งก์กับสินค้าโภคภัณฑ์โลก เช่น ราคาน้ำมันโลก รวมไปถึงราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่างๆ ถ้าคงจะให้ราคาไปไกลกว่านี้ ก็น่าจะยากลำบากเหมือนกัน ด้วยสมมติฐานหลักจากเศรษฐกิจโลก แม้ว่าอาจจะไม่ได้ถดถอยในปีนี้ แต่อาจจะเกิดขึ้นในปีหน้า ขณะที่ในปีนี้ การอ่อนตัวต่อเศรษฐกิจโลกยังคงมีมาให้ได้เห็น จะเป็นลักษณะค่อยๆ ชะลอ หรือหดตัวลงทีละนิด
ฉะนั้นด้วยสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ อุปสงค์ดีมานด์โลกต่างๆ ยังไม่ได้มีปัจจัยที่ดีขึ้น โอกาสที่สินค้าคอมมูนิตี้ปรับสูงขึ้นแรงๆ ยังคงเป็นเรื่องที่ยาก ขณะที่หุ้นพลังงานในประเทศก็มีส่วนลิ้งก์กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกด้วย ซึ่งมองว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจจะยังทำให้กลุ่มพลังงานยังไปไหนไม่ได้ไกล แม้ว่า valuation จะอยู่ค่อนข้างต่ำก็ตาม กลยุทธ์ในกลุ่มนี้จึงมองว่า ยังคงมีมุมมองเป็นกลางๆ เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวยังคงมีความอ่อนแออยู่
หากนักลงทุนมีความสนใจที่เข้าไปลงทุนในกลุ่มนี้จริงๆ จะมีหุ้นบางตัวที่ก่อนหน้านี้ราคามีการปรับตัวลงมาค่อนข้างมาจากปัจจัยภายในประเทศไปบ้างแล้ว แต่ไม่ได้รับผลกระทบต่อปัจจัยภายนอกประเทศ มองว่าเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีความน่าสนใจอยู่ เพราะถ้าเรามองว่า กลุ่มคอมมูนิตี้ยังไปไหนไม่ได้ไกล กลุ่มโรงไฟฟ้าจะได้รับประโยชน์ จากต้นทุนราคาแก๊สที่อาจจะไม่ได้ขยับสูงขึ้น แต่จะมีการขยับลงจนถือว่ามาประโยชน์ต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า และต้องยอมรับว่า ราคาได้ถูกทำโทษลงมาจากปัจจัยภายในประเทศค่อนข้างมากพอควรแล้ว ซึ่ง 3 ตัวในกลุ่มนี้ที่น่าสนใจคือ GULF BGRIM และ GPSC
“กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจ “หุ้นกลุ่มพลังงาน” ที่มาร์เก็ตแคปสูงสุด และยังคงมีอัพไซด์เหลืออยู่มาก ดังนี้
1.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT
- มาร์เก็ตแคป 964,001.12 ล้านบาท
- ราคาปิด 7 ก.ค.66 ที่ 33.75 บาท
- ราคาเป้าหมาย 38.82 บาท
- เหลืออัพไซด์ 15.02%
- P/E 10.31 เท่า
2.บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP
- มาร์เก็ตแคป 599,467.80 ล้านบาท
- ราคาปิด 7 ก.ค.66 ที่ 150.50 บาท
- ราคาเป้าหมาย 170.79 บาท
- เหลืออัพไซด์ 13.48%
- P/E 7.52 เท่า
3.บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF
- มาร์เก็ตแคป 539,724.90 ล้านบาท
- ราคาปิด 7 ก.ค.66 ที่ 45.50 บาท
- ราคาเป้าหมาย 58.98 บาท
- เหลืออัพไซด์ 29.62%
- P/E 45.46 เท่า
4.บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR
- มาร์เก็ตแคป 250,800.00 ล้านบาท
- ราคาปิด 7 ก.ค.66 ที่ 20.70 บาท
- ราคาเป้าหมาย 26.54 บาท
- เหลืออัพไซด์ 28.21%
- P/E 26.40 เท่า
5.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA
- มาร์เก็ตแคป 202,352.50 ล้านบาท
- ราคาปิด 7 ก.ค.66 ที่ 54.00 บาท
- ราคาเป้าหมาย 84.18 บาท
- เหลืออัพไซด์ 55.88%
- P/E 23.65 เท่า
6.บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC
- มาร์เก็ตแคป 147,330.86 ล้านบาท
- ราคาปิด 7 ก.ค.66 ที่ 52.00 บาท
- ราคาเป้าหมาย 76.30 บาท
- เหลืออัพไซด์ 46.73%
- P/E 86.87 เท่า
7.บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP
- มาร์เก็ตแคป 99,964.14 ล้านบาท
- ราคาปิด 7 ก.ค.66 ที่ 44.25 บาท
- ราคาเป้าหมาย 62.50 บาท
- เหลืออัพไซด์ 41.24%
- P/E 3.33 เท่า
8.บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM
- มาร์เก็ตแคป 87,982.88 ล้านบาท
- ราคาปิด 7 ก.ค.66 ที่ 34.00 บาท
- ราคาเป้าหมาย 46.31 บาท
- เหลืออัพไซด์ 36.20%
- P/E - เท่า
9.บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH
- มาร์เก็ตแคป 77,756.25 ล้านบาท
- ราคาปิด 7 ก.ค.66 ที่ 35.25 บาท
- ราคาเป้าหมาย 47.50 บาท
- เหลืออัพไซด์ 34.75%
- P/E 13.76 เท่า
10.บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU
- มาร์เก็ตแคป 76,087.45 ล้านบาท
- ราคาปิด 7 ก.ค.66 ที่ 8.95 บาท
- ราคาเป้าหมาย 9.27 บาท
- เหลืออัพไซด์ 3.57%
- P/E 2.16 เท่า
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์