JPMorgan ฟันธง ‘ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์’ กดดันดอลลาร์เสื่อมค่า
นักวิเคราะห์จาก JPMorgan เปิดเผยว่า ความเสี่ยงในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ร่วมกดดันค่าเงินดอลลาร์ให้เสื่อมค่าลง สอดคล้องกับกระแสลดการพึ่งพิงดอลลาร์ หรือ De-dollarization ด้านดัชนีฯ เผย ดอลลาร์เสื่อมค่าลง 2% ในสัปดาห์ที่แล้ว แตะนิวโลว์ตั้งแต่ เดือน เม.ย. 65
Key Points
- ความเสี่ยงในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ร่วมกดดันค่าเงินดอลลาร์ให้เสื่อมค่าลง ท่ามกลางกระแส De-dollarization
- ถ้าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีนทวีความรุนแรงขึ้นมากขึ้น ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่การขจัดโลกาภิวัตน์ (De-globalization)
- ดัชนีเงินดอลลาร์ของบลูมเบิร์ก เผย ดอลลาร์เสื่อมค่าลง 2% ในสัปดาห์ที่แล้ว แตะนิวโลว์ตั้งแต่ เดือน เม.ย.65
“บรรดานักลงทุนซึ่งยังมองว่าดอลลาร์มีศักยภาพในการเป็นสกุลเงินหลักของโลกอาจจะลืมนำปัจจัยเรื่องความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐที่ปรับตัวร้อนแรงมากขึ้น”
คำกล่าวข้างต้นมาคือแนวคิดของกลุ่มนักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน (JPMorgan) ที่มองว่า ปัจจุบันตลาดยังไม่ได้สะท้อนถึงความเสี่ยงจากประเด็นการลดการพึ่งพิงสกุลเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ หรือ De-dollarization โดยกระบวนการดังกล่าวมีผลทำให้ดอลลาร์ซื้อขายในอัตราที่แพงมากเมื่อเทียบกับอัตราในอดีต
ด้าน แจน ลอยส์ (Jan Loeys) จอยซ์ ชาง (Joyce Chang) และบรรดานักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน ระบุว่า “หากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ และจีนทวีความรุนแรงขึ้นและโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ มากขึ้น ก็มีแนวโน้มที่จะนําไปสู่การขจัดโลกาภิวัตน์ (De-globalization) ในการค้าและการเงิน” พร้อมเสริมว่า “ที่สำคัญอาจนำไปสู่การ De-dollarization ในโลกการเงินด้วย”
ทั้งนี้ ปัจจัยสําคัญที่อาจคุกคามการครอบงําในระยะยาวของดอลลาร์คือความผิดปกติทางการเมืองในสหรัฐ ที่อาจปิดกั้นความพยายามในการจัดการหนี้ในประเทศ และลดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตเนื่องจากข้อจํากัดทางการคลัง
โดย เมื่อต้นปีที่ผ่านมา “การเล่นการเมือง” ของบรรดาสมาชิกรัฐสภาสหรัฐ มีผลคุกคามเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากนักการเมืองถกเถียงกันเรื่องเพดานหนี้อย่างร้อนแรง ก่อนที่จะถึงตัดสินเห็นชอบในนาทีสุดท้าย
นอกจากนี้ สถานการณ์ความเสี่ยงอีกประการหนึ่งที่นักยุทธศาสตร์สรุปคือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งอาจกลายเป็น "สงครามเย็น 2.0" รวมทั้ง สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศจีน ตั้งแต่การผ่อนคลายข้อจํากัดด้านเงินทุน ไปจนถึงการส่งเสริมสภาพคล่องของตลาด ก็นับเป็นปัจจัยที่เข้าไปกดดันความเป็นหนึ่งของสกุลเงินดอลลาร์เช่นเดียวกัน
โดยจากข้อมูลของเจพีมอร์แกน พบว่า นักลงทุนเริ่มรู้สึกผลกระทบของการย้ายออกจากดอลลาร์และแรงกระแทกต่อเสถียรภาพของค่าเงินดังกล่าวได้ในวงกว้าง ทั้งหมดส่งผลทําให้มูลค่าของเงินดอลลาร์และตราสารทุนลดลงในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกลับปรับตัวสูงขึ้น
ในขณะเดียวกัน ข้อมูลล่าสุดจากธนาคารเพื่อการชําระบัญชีระหว่างประเทศ (Bank of International settlements) พบว่า สกุลเงินสหรัฐอยู่ในช่วงที่ซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ บนพื้นฐานพื้นฐานที่ปรับเข้ากับอัตราเงินเฟ้อแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลดังกล่าวไม่รวมการเทขายดอลลาร์จำนวนมากในเดือนก.ค. ซึ่งตามมาตรวัดของบลูมเบิร์ก พบว่า มูลค่าเงินดอลลาร์ลดลงเกือบ 2% ในสัปดาห์ที่แล้วแตะระดับต่ําสุดในเดือน เม.ย. 2565