ตลท.เดินหน้า‘ตลาดทุน’เข้มแข็ง ดึงเม็ดเงินลงทุนไหลกลับ-พี/อีต่ำ
"ตลท."ชี้ภาวะการลงทุนทั่วโลกเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังเฟดขึ้นดบ. ใกล้พีคแล้ว-ราคาน้ำมันปรับลง ลุ้นการเมืองไทยจัดตั้งรบ.ดึงเม็ดเงินไหลกลับ หลังพี/อีต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เชื่อมโยงตลาดภูมิภาคและทั่วโลก -ขยายฐานนักลงทุนรายย่อย-ปรับปรุงเกณฑ์ สร้างตลาดทุนเข้มแข็ง
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภาวะตลาดการลงทุนทั่วโลกเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังจากตลาดคาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยใกล้จุดสูงสุดแล้ว ขณะนี้เริ่มเห็นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหล (ฟันด์โฟลว์) กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่
สำหรับตลาดหุ้นไทยมี Forward P/E เฉลี่ยที่ 18.83 เท่า ปรับลงมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.) มีแนวโน้มเติบโตดี จากบางอุตสาหกรรมปรับตัวดีกว่าก่อนโควิดแล้ว ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงไม่มีปัจจัยกดดันกำไรในระยะข้างหน้า และการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังเป็นบวก
ดังนั้น มองว่า หากปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ถ้าสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ชัดเจน เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจและจัดทำงบประมาณทำให้มองเห็นภาพพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้ชัดเจนมากขึ้น เชื่อมั่นว่าจะเป็นจุดสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนมากขึ้น และดึงดูดฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้เช่นเดียวกันกับในตลาดประเทศเกิดใหม่
จากภาวะตลาดหุ้นไทย เดือน ก.ค. มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 46,002 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 25.3% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 7 เดือนแรกปี2566 อยู่ที่ 56,873 ล้านบาท มีผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 12,558 ล้านบาท ทำให้ใน 7 เดือนแรกของปีนี้ ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 118,181 ล้านบาท หรือราว 50%ของปีก่อนที่เป็นมูลค่าซื้อสุทธิรวมราว 200,000 ล้านบาท
ส่วนกรณีนักลงทุนออกจากตลาดหุ้นไทยไปลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศ และแนวทางดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยนั้น นายภากร กล่าวว่า ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการแนะนำการลงทุนทั่วโลกในภาวะการลงทุนเช่นนี้ โดยผู้ลงทุนกระจายความเสี่ยงการลงทุนไม่เฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่งนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี
นายภากร กล่าวว่า ในฝั่งของตลาดหุ้นไทย ก็มีการเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นต่างประเทศอื่นๆ มีหลายผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความสอดคล้องกัน เราก็นำผลิตภัณฑ์ของต่างประเทศมาซื้อขายในตลาดหุ้นไทย เช่น DR, DRX และ ETF รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยออกไปซื้อขายในตลาดหุ้นภูมิภาคอาเซียนเช่นกัน และพยายามผลักดันข้ามออกไปซื้อขายในตลาดหุ้นทั่วโลกให้เกิดขึ้นต่อไป
รวมถึงตลท. มุ่งขยายฐานนักลงทุนรายย่อย ให้เข้าถึงตลาดทุนด้วยเม็ดเงินลงทุนไม่มากและสะดวกขึ้น ,จัดงานไทยแลนด์โฟกัส ระหว่าง 23-25 ส.ค.นี้ สร้างความเชื่อมั่นและดึงเงินลงทุนต่างชาติ, จัดทำดัชนีใหม่ๆสอดคล้องกับสภาวะตลาดและนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น อย่างเช่น ดัชนีใหม่ SET50 Free Float Adjusted Market Capitalization Weighted Index (SET50FF) และ SET100 Free Float Adjusted Market Capitalization Weighted Index (SET100FF) , เตรียมปรับปรุงเกณฑ์รับหุ้น IPO เพื่อพัฒนาให้คุณภาพของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ดีขึ้น และสอดคล้องกับขนาดของตลาด
" ปีหน้าจะเริ่มมีการปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่สำหรับหุ้น IPO ปัจจุบันมีบริษัทรอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพยฯ อยู่จำนวน 46 บริษัท ซึ่งแบ่งเข้า SET จำนวน 30 บริษัท และตลาด mai จำนวน 16 บริษัท ยืนยันว่าบริษัทเหล่านี้ไม่ได้เร่งเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพราะเตรียมจะเลี่ยงเกณฑ์ใหม่"
นอกจากนี้ ตลท. ยังร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดทุนไทย ปรับปรุงการทำงานและหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำรอยกรณีปัญหา บริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือSTARK
นายภากร กล่าวว่า ขณะนี้ ตลท. กำลังทำเรื่องเสนอให้ ก.ล.ต. ว่ามีอะไรที่จะต้องปรับปรุงบ้าง ขอให้มีความชัดเจนก่อนจะแจ้งให้ทราบต่อไป ส่วนบจ.อื่นๆที่ได้รับผลกระทบจากSTARK อย่างมีนัยสำคัญ ขณะนี้ยังไม่มีบจ.แจ้งเข้ามาเพิ่มเติม คงต้องรอติดตามการเปิดเผยข้อมูลงบการเงิน ไตรมาส 2 ปี 2566
ขณะเดียวกัน ตลท. ยังติดตามกรณี STARK ในการนำส่งรายงานงบการเงิน ไตรมาส 1ปี 2566 และไตรมาส 2ปี 2566 รวมถึงการจัดทำSpecial Audit งบการเงินของบริษัทที่ขอเลื่อนนำส่งไปในเดือนก.ย.นี้แต่ยังต้องรอคำตอบจากก.ล.ต.ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่